เมษายน 20, 2024, 03:45:09 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
โพลล์
คำถาม: เพื่อนๆที่รู้คำตอบช่วยตอบหน่อย  (ปิดการโหวต: เมษายน 09, 2012, 08:46:43 PM)
สัมมาทิฏฐิ - 0 (0%)
นิพพาน - 0 (0%)
จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 0

หน้า: 1 [2] 3 4 5  ทั้งหมด   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน  (อ่าน 126751 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: เมษายน 21, 2012, 09:20:42 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
ขอบคุณทุกท่านครับสำหรับกำลังใจ....บทความดีไม่ดี..ความหมายดีไม่ดี..คำแปลต่างๆดีไม่ดี...อยู่ที่ตัวท่านเอง..อัตเตหิ..อัตตาโนนาโถ...แร๋ว..กุสะลา  ธัมมา....ธรรมที่เป็นกุศล...ให้ผลเป็นสุข...อะกุสะลา   ธัมมา...ธรรมที่เป็นอกุศล...ให้ผลเป็นทุกข์...อัพพะยากะตา  ธัมมา...ธรรมที่ไม่ตายวายทุกข์...ให้ผลเป็นอุเบกขาธรรม....นิ่งได้ทั้งกายวาจาใจ...ไร้ทุกข์ ไร้โศก ไร้โรค ไร้ภัย...มีใจเหมือนตายด้าน..มีตาเป็นเพียงแว่น...มีหูเป็นเครื่องรับ...มีตับเป็นเครื่่องรู้...มีกู ก็เหมือนไม่มี...ดีแท้หนอถ้าพอใจคิด...5555...ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆท่านที่เป็นเพื่อนร่วมทางๆนี้ด้วยครับ..อันที่จริงม้นก็ไม่มีอะไรมากหรอกที่ต้องพูดต้องเขียน...แต่มันก็เป็นสื่อความหมายที่ดีต่อเพื่อนร่วมทาง...พูดเท่าไหร่ก็ผิดเท่านั้น...เขียนเท่าไหร่ก็ผิดมากเหมือนกัน...แต่หากไม่ทำไม่พูดมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรดอกครับท่านผู้อ่านทั้งหลาย.......แต่หากพูดแล้วทำแล้ว...มันมากด้วยสัพยอกทั้งหลาย  ก็ควรสำรวมสักกะหน่อยเหน๋าะ  พีน้อง.....สัมมาทิฎฐิ....




บันทึกการเข้า
กอล์ฟ
เด็กใหม่
*****

พลังความดี : 2


เพศ: ชาย
อายุ: 33
กระทู้: 7
สมาชิก ID: 1652


เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #16 เมื่อ: เมษายน 23, 2012, 04:41:54 AM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
สวัสดีครับ คุณน้าพอดีผมเข้ามาดู ผมว่าคุยกันเรื่องศีลห้ากันก่อนดีกว่าไหมครับ
เหมือนกับเรากำลังคุยกันในโลกนี้เป็นปกติ โดยเฉพาะศีลข้อที่ 4 ยิ่งจำแนกออกไปยิ่งสนุกครับ
จะให้มาคิดถึงทางนิพพานผมไม่อยากจะคิดถึงปวดหัวเปล่าๆ(แต่ก็คิด) ผมแค่คิดในสิ่งที่คิดถึงได้ คิดในสิ่งที่ไปถึงได้
ผมอ่านในหนังสือพุทธวัจน์มาว่าสัมมาทิฎฐิเป็นธรรมดาที่โน้มเอียงไปยังทางนิพพานอยู่แล้ว
ครูบาอาจารย์กล่าวไว้ว่าถึงตอนนั้น แม้แต่ความเห็นเราก็ยังไม่มีเลย แล้วแต่จะคิดนะครับผม
ผมแค่มาเล่าให้ฟังอีกอย่างผมก็อาจไม่มาดูตรงนี้อีก ผมถือว่าผมได้ทำหน้าที่แล้ว ด้วยความเคารพ กราบสวัสดีครับ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 23, 2012, 05:23:03 AM โดย กอล์ฟ » บันทึกการเข้า

ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #17 เมื่อ: เมษายน 23, 2012, 11:31:57 AM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
บ่เป็ยหยั๋งดอกพ่อหนุ่ม...ทางนั้นมีไว้ให้เราเดินเราก็เดินไป เหนื่อยเราก็พัก หายเหนื่อยเราก็ไปต่อ บ่เป็นหยั๋งเน๊าะ....โลกนั้นมันปรกติอยู่แล้วละ...แม้แต่มนุษย์ทุกคนก็เป็นปรกติอยู่...แต่สิ่งที่มันผิดปรกตินั้น...มันคืออวิชา...ซึ่งแปลว่าความไม่รู้แจ้งแทงตลอด....มันจึงนำพาให้เกิดเรื่องตั้ง 24 ชั้นฟ้า 25 ชั้นดิน...เดือดร้อนผู้มีความรู้..และมีความเมตตา...ต้องบำเพ็ญตะบะเพื่อหาทางช่วยเหลือ...และช่วยแก้ขัยหาทางออกให้กับชีวิตเราท่านทั้งหลาย...ให้เป็นไปด้วยดี...บ่เป็นหยั๋งดอกพ่อหนุ่ม....หน้าตาดีนะเรา สมแล้วที่เป็นผู้รักษาศีล  ขอนุโมทนาด้วยครับ.....สัมมาทิฎฐิ....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #18 เมื่อ: เมษายน 25, 2012, 10:54:18 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
....ความรู้ที่ถูกต้องเป็นเพียงแค่มุมมองที่เปลี่ยนไป....  เมื่อตาเห็นรูป  เกิดเป็นจักษุวิญญาณ  มันต้องรู้ตามสัญชาตญาณที่ได้เรียนรู้มา  จะปรุงต่อเป็นแบบใหนก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง  หรือจะหยุดก็ขึ้นอยู่ที่ตะบะ  แต่มันก็ต้องรู้เป็นธรรมดา ....รู้อย่างซาบซึ่งแค่นี้เราก็สบายไปหลายชาติแล้วพี้น้องครับ...สัมมาทิฎฐิ....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #19 เมื่อ: เมษายน 27, 2012, 10:39:09 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
ความรู้ที่ถูกต้องเป็นเพียงมุมมองที่เปลี่ยนไป....(เข้าใจในความมีอยู่ว่าไมมีอยู่จริง..เข้าใจในความรู้สึกที่สำคัญมั่นหมายว่าความเป็นจริงว่าไม่เป็นจริง..เข้าใจตามธรรมชาติเดิมแท้ของชีวิตมันจริง...ว่ามันไม่ได้มีอะไรจริงๆ...ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ...มันไม่ใช่อนิจัง..ทุกข์ขัง..อนัตตา...มันไม่ใช่อะไรทั้งนั้น...ไม่ใช่จริงๆ...ไม่มีอะไรจริงๆ...สิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่นั้นเป็นธรรมชาติล้วนๆ..อย่าสำคัญมันผิดไป...ใส่ใจได้มันก็เป็นเพียงแค่เช่นนั้นเอง..อะไรๆก็เช่นนั้นเอง )....วิถีการเข้าถึงเหตุผลก็มีหลายวิธี...วิธีปฎิบัติก็มีหลายวิธีที่จะเดินตามทางๆนี้...แต่แล้วผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นบุคลที่มีปัญญาอันแหลมคม...ก็มักทำงานในตำแหน่งแถวหน้า...ส่วนผู้มีปัญญาน้อย...ก็มักจะเดินตามหลัง...เมื่เดินแถวหน้าก็มักไม่เคยคิดย้อนหลัง...เลยเตลิดเปิดเปิงถึงบางยี่ขัน...ส่วนคนเดินตามหลังที่มีปัญญาน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งเชื่องช้าไปใหญ่..แถมยังคิดเพ้อเจ้อเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่....กรรมเวรจริงๆชาวพุทธในปัจจุบัน....แต่ก็ช่างมันเถอะในเมื่อมันไม่มีอะไรจริงแล้ว แล้วเราจะไปคิดทำไม...สงสารแต่ท่านที่มีเมตา  มีความการุณาอุตส่าพากเพียรบอกเล่าชี่บอกนั้นแหละ  ทำไมมันจึงปึกแท้เหน๊าะ...ให้แปลก็แปลมั่ว..โถ้ๆๆๆๆ....สัมมาทิฎฐิ.....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #20 เมื่อ: เมษายน 29, 2012, 10:02:00 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
ปัญหาของการเวียนว่ายตายเกิดเป็นปัญหาเฉพาะหน้า  ของนักปฎิบัติธรรม  เมื่อมีการเกิด  ก็ต้อง มีแก่ มีเจ็บ มี่ไข้  มีความโศกเศร้าเสียใจต่างๆตามมา  มีความสมปรารถนาบ้าง  ไม่สมปรารถนาบ้าง  มีความคับแค้นใจเมื่อไม่สมปรารถนา  อันที่จริงคนเรานั้นมีความทุกข์ต่างๆอยู่ตลอดเวลา  แต่เราไม่เข้าใจและไม่รู้  จะมองเห็นความทุกข์ก็ต่อเมื่ิอเจอกับความไม่สมปรารถนาบ้าง  แต่ก็มไ่รู้  รู้แต่ว่ามันคับแค้นใจไม่พอใจ  ต้องแก้แค้นด้วยการหาทางออก  ทางแรกต้องดิ้นรนให้สมปรารถนาด้วยวิธีการต่างๆ  หรือได้แก้แค้นแก้เผ็ดเพื่อจะเอาชนะมัน  ดิ้นๆๆๆ  แม้แต่ดิ้นเพื่อเอาชนะกิเลส  ก็ต้องหาทางต่างๆเพื่อเอาชนะมัน  บางท่านถือศีลต่างๆเพื่อเอาชนะกิเลส  จนศีลนั้นพันตัวเองอย่างสลัดไม่ได้  ก็จำอวดคนอื่นๆว่าศีลดีที่ตนปฎิบัติเคร่งคัด  จะกินยังต้องถามอีก  ลำบากไหมครับในการดิ้นรน  บางท่านก็กลัวที่จะไม่ได้ทำ  บอกให้ลืมมันบ้าง  ไม่ว่าโลกและธรรม  ไม่หรอกครับ  เขาบอกว่ากลัวที่จะไม่ได้เกิดเป็นเทวดาบ้าง  กลัวเกิดชาติหน้าเกิดมาแล้วจนบ้าง  พระบางท่านก็เทศได้แต่ให้คุณโยมทำบุญมากๆ  จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนั้นบ้างชั้นนี้บ้าง  มอมเมากันแต่บุญ  คนเราส่วนใหญ่มันก็ช่างขี้กลัวกันอยู่แล้ว  พอเจอลูกขู่ลูกตื้อก็ไปกันใหญ่  บางคนไปขอเงินพ่อเงินแม่มาทำทานทำบุญ  ไม่ว่าดอกครับการทำบุญ เพรามนุษย์เราก็ต้องพึ่งบุญกันทั้งนั้น  แต่เราต้องระลึกกันบ้าง   ว่าของวิเศษในศาสนานั้นเราจับต้องมันได้ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่  ไม่วาเราจะมีสภาพดำรงค์ชีวิตอยู่แบบไหน  แบบชาวบ้าน  แบบนักบวช  หรือแบบขอทาน  หรือแบบเจ้าสัวเศษฐีทั้งหลาย  สัมมาทิฎฐิในมรรค8  ก็เริ่มที่  1โดยสัมมาทิฎฐินี้แหละครับ  ก่อนที่จะเป็น  สัมมาสังกัปโป  ถ้าไมสามารถเห็นชอบได้ก็ยากยิ่งที่จะดำริชอบได้  ดำริชอบไม่ได้การกระทำในสื่งชอบก็ไม่ได้  นั่นเป็นกระบวนการแห่งมรรคคาปฎิปทา   ความเห็นชอบนั้นเห็นอะไร  ไม่ได้เห็นอะไรหรอกครับพี่น้อง  ก็แค่เห็นอ้ายกายยาววาหนาคืบกว้างศอกนี่แหละ  ว่ามันคืออะไรที่แท้จริง  มันเป็นอะรไที่แท้จริง  เห็นจนถึงที่สุดของมันว่าเป็นหนึ่งไม่คือใคร  ความเห็นตัวนี้จะสอนให้ดำริชอบเอง  และกระทำในสิ่งที่ถูกที่ชอบเอง  ตลอดจนกว่าท่านจะเป็นหนึ่งในตัวท่านเอง   อย่างไม่ต้องสงสัยตลอดเส้นทางเดิน  ท่านจะทำบุญ  ทำทาน  รักษาศีล  เจริญภาวนากรรมฐานใดๆ  ก็ล้วนแต่เป็นประโยชน์ให้กับตัวท่าและคนรอบข้าง  ท่าจะไม่ถกเถียงบุคลใดว่าแนวทางนั้นถูกนั้นผิด  หรือทำแล้วต้องสอบอารมณ์   ถ้าไม่คิดปรุงแต่งตามวัตถุแห่งความเคยชิน   บางครั้งเราไม่ต้องทำอะรไก็ได้   เพียงแค่การไม่คิดปรุงแต่งตาม   ทุกอย่างก็สิ้นสุดลงได้  สุดยอดแห่งการปฎิบัติก็อาจเกิดขึ้นได้ ในขณะนั้น  ความสิ้นสุดแห่งกงล้อก็แตกสบั้นลงได้อย่างไม่คาดคิดมาก่อน......ธรรมชาติไม่เคยทำให้ใครผิด.....ความไม่รู้ไม่เข้าใจต่างหากที่ทำให้เราต้องวิตกสับสนกังวลใจ.....ดิ้นไปอย่างไม่สิ้นสุดตามทาง.....สัมมาทิฎฐิ.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 29, 2012, 10:07:12 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #21 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2012, 09:49:05 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
อยากเขียนและอยากบอก(อยาก)  อย่าส่งจิตออกนอก  มันสั้นเกินไป  อย่าคิดปรุงแต่ง  ยิ่งสั้นไปใหญ่  กลัวเป็นกัลญาธรรมที่ไม่ดี  และกลัวไม่มีคนสนใจมัน  ก็จำเป็นต่องร่ายยาวไปหน่อย  กราบขออภัยที่ทำให้ท่านทั้งหลายเป็นกังวล.....สัมมาทิฎฐิ.....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #22 เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2012, 09:48:29 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
สิ่งทีมีรสขม  ย่อมถูกใช้เป็นยาดี
สิ่งที่ฟังแล้วไม่ไพเราะหู นั้นคือคำตักเตือนอันจริงใจของผู้เตือนที่แท้จริง
จากการแก้ไขความผิดให้กลับเป็นถูก  เราย่อมได้รับสติปัญญา
โดยการต่อสู้เพื่อรักษาความผิดของตัวเองเอาไว้  เราย่อมแสดงนิมิตหมายแห่งความมีจิตผิดปรกติออกมา
ผู้ปฎิบัติเพื่อกุศลอันสูงสุด  จะไม่หมิ่นผู้อื่น  ในทุกๆโอกาศที่เขาปฎิบัติอยู่   ไม่ทำลายทางแห่งตนที่กำลังเดินอยู่
ผู้นั้นย่อมใช้สิ่งที่มีรสขม  เป็นยาดีอย่างถูกต้อง........สัมมาทิฎฐิ......
บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #23 เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2012, 03:35:59 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
ขออนุญาติสนทนาในกระทู้ด้วยนะครับ หากไม่ตรงประเด็น ไม่เกิดประโยชน์ หรือบิดเบือนใดๆ ก็ขออโหสิกรรมด้วยนะครับ
1. สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบใช่ไหมครับ อย่างไรเรียกว่าเห็นเห็นชอบครับ เห็นสาวๆสวยๆอย่างนี้เรียกว่าเห็นชอบไหมครับ ก็เพราะว่าผมชอบสวยๆนี่นา พูดว่าเห็นชอบคงไม่ผิดใช่ไหมครับ แต่ในนัยยะของพระธรรมนั้น ความเห็นชอบก็คือ ความเห็นและเข้าใจจริงในสภาวะธรรมใดๆ เช่น
- ความปารถนา ความพรัดพราก ความประสบสิ่งไม่เป้นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์ ความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ นี่ก็จัดอยู่ในความเห็นชอบเห็นจริงในสัจธรรมนั่น
- ความเห็นจริงในสภาพปรมัตถธรรม คือ สภาพจริงๆที่ใครก็รับรู้ รู้สึกได้ แม้จะเรียกในชื่อบัญญัติที่ต่างกันแต่ก็รับรู้ได้เหมือนกัน เช่น ความร้อน เย็น เคลื่อนตัว ตรึงไหว แข็งอ่อน เสียง กลิ่น สี รส ความคับแค้นใจ ความละเหี่ยไม่สบายกายใจ ความกรีดใจ หวีดใจ อัดอั้น ผ่องใส ปิติ อบอุ่น เฉย อย่างนี้เป็นต้น ทุกคนทุกชนชาติย่อมรู้สึกกับสิ่งนี้ๆได้ แต่เรียกชื่อต่างกันตามแต่ละพื้นที่ที่บัญญัติเรียกขึ้นมาเพื่อให้เข้าใจตรงกัน หากเห็นสภาพจริงที่ตัดขาดจากสมมติบัญญัตินี้ขึ้น ไม่เหกิดความหมายใดๆที่เป็นบัญญัติ เรียกว่าเห็นจริงในสภาพปรมัตถธรรมเป็นเบื้องต้นใน รูป-นาม
- ความเห็นจริงใน อริยะสัจ ๔ รู้ทุกข์ เห็นทุกข์ รูสภาพทุกข์ เห็นเหตุปัจจัยแห่งทุกข์ ละที่เหตุปัจจัยแห่งทุกข์ ปฏิบัติตามทางพ้นทุกข์ ถึงสภาพแห่งการพ้นทุกข์ เห็นความจริงและเข้าใจจริงตามอริยะสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค การเหตุ เห็นปัจจัย เห็นผลในสภาพธรรมที่เป็นจริง
2. นิพพาน เป็นสภาพที่ดับจากกิเลสทั้งปวง หมดซึ่งทุกข์ ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ เป็นต้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าตาย
3. เรื่องการปฏิบัตินั้น ผมไม่รู้ว่าทุกๆท่านปฏิบัติเพื่อสิ่งใด ผมรู้แค่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนีที่เป็นพระศาสดาของผมนั้น พระองค์สอนให้ผมรู้ทุกข์ รู้เหตุของทุกข์ รู้ทางดับทุกข์ ถึงความพ้นทุกข์ ถึงแก่กุศลจิต อุเบกขาจิต เห็นสภาพจริงอันไม่น่าหลงไหลยึดติดเป็น ตัณหา อุปาทาน จนถึงแก่ อัพกตธรรม ไม่ได้สอนให้ปฏิบัติเพื่อเป็นความรู้พูดคุย ให้คนสรรเสริญ ไม่ได้เป็นไปเพื่อฤทธิ์เดช ส่วนใครจะกระทำเพื่อสิ่งใดปฏิบัติยังไงก็ตามแต่ความพอใจยินดีของแต่ละคน
- อนึ่งเมื่อกาลก่อนผมพยายามที่จะพูดบอกกล่าวทั้งไพเราะทั้งหยาบคายน่าเกลียด แต่เมื่อพูดไม่ถูกกาล ไม่เข้าถึงประเด็นแก่จิตผู้ฟัง ไม่เข้าถึงประโยชน์แก่ผู้ฟัง สิ่งใดๆแม้ไพเราะ หรือ หยาบกระด้างก็ดี ย่อมไม่เป็นผล แต่คำพูดใด วาจาใด ที่ก่อเกิดประโยชน์แก่คนอื่น แล้วเรารู้กาลที่จะกล่าวคำนั้น สิ่งนั้นย่อมมีค่ามากแก่ผู้รับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 13, 2012, 03:39:40 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #24 เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2012, 05:30:16 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
วาจาประกอบด้วยประโยชน์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมมหามุนีตรัสไว้

ผมคิดว่ากระทู้นี้น่าจะเป้นประโยชน์แก่คุณประวิต และ ท่านทั้งหลายที่มาแวะชมสนทนาในกระทู้นี้ เพื่อเป็นวิถีและแนวทางในการใช้สนทนาธรรมและชี้ทางแก่ผู้อื่น แต่ก่อนอื่นเราต้องมีความวางใจกลางๆพิจารณารับฟังคนอื่นก่อนที่จะกระทำการใดๆ เพื่อให้ถูกแก่กาล เหมาะสม และ เป็นประโยชน์ ดังวาจาอันศักดิ์สิทธิ์นี้ครับ

๑. ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น


๒. ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส


๓. อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

๔. ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น


๕. ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส


๖. อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 13, 2012, 05:35:45 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #25 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2012, 09:53:01 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
ิยินดีต้อนรับและเป็นเกียรติตามโอกาศอันสมควร   แด่เพื่อนร่วมทางในทางๆนี้ทุกๆท่าน  รวมถึงท่านเกียรติคุณด้วย  การสนธนาในธรรมทั้งปวง  รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นที่เป็นมุมมองแห่งปัญญา  (สำหรับชาวพุทธ ) แปลว่าผูที่ตื่นขึ้นด้วยปัญญาอันแท้จริง ...จะไม่มองและสนทนาแค่เพียงอาการแสดง  แห่งความเห็นที่มองว่าถูกและผิด  และสำคัญว่าความเห็นของๆเรานั้นถูกแล้วควรแล้ว  หรือความเห็นของใครๆที่เป็นความเห็นต่างกรรมต่างวาระ  ว่าที่เห็นนั้นหรือความเห็นนั้นถูกหรือผิด  หรืออะไรๆที่ถูกต้องเสมอไป  หรือไม่ว่าเพื่อเป็นการที่จะแสดงออกในที่ๆต้องการเอาชนะ  หรือแสดงว่าความคิดเห็นของเรานั้นถูกเสมอไป  หรือแนวทางที่เรากระทำนั้นต้องถูกต้องเสมอไป  หรือว่าเหมาะสมกว่าที่คนอื่นๆเขาปฎิบัติอยู่  สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นตามกาลแห่งการเสวนาของชาวพุทธ  เราจะเปิดกว้างเสมอในมุมมอง เพื่อเป็นประโยนช์ต่อตัวเราเองและคนรอบข้าง  และเพื่อเป้าหมายของศาสนานี้จะได้เป็นไปตามความรู้ถูกต้องอันสูงสุด  แห่งหัวใจแห่งพระศาสนา   เช่นเดียวกันครับสัมมาทิฎฐินั้นก็มีหลายระดับชน  เช่นเห็นสาวสวยก็ต้องรู้สึกชอบ  อันนี้ก็เเป็นสัมมาทิฎฐิเหมือนกัน  แต่เป็นของชาวโลก  ที่ชอบแล้วนำพาความวุ่นวายหรือความเร่าร้อนใจมาสู่เราไม่มีที่สิ้นสุด  หีโนคัมโม  ปุถุโช  ....แต่สัมมาทิฎฐิในศาสนานั้นมี  3 ระดับ  ที่1 นั้นเห็นว่าความละอายต่อบาปทั้งปวงที่ไร้ศีลธรรม  กระทำผิดต่อศีล 5 ก็ดี  ละโมบโลภมากที่ไม่รู้จักพอ จนทำให้ต้องเบียดเบียนตนเองและคนอื่นๆเพื่อที่จะได้มาในของในสิ่งที่ตนชอบ  ไม่ว่าเรื่องรูปหรือนาม  หาความละอายใดๆไม่  แม่ในขณะที่กำลังสำคัญผิดว่าถูก  แต่ถ้ามีความละอายแม้อยู่ในที่ลับและอยู่ในที่แจ้ง  ถึงจะมีใครรู้หรือไม่มีใครรู้ใครเห็นกับเราก็ตาม  เราสามารถดำรงค์ใจในความละอายนั้นได้  และคอยบอกคอยสอนตนอยู่เสมอให้รู้จักละอาย  และพอ   นี้ก็เป็นสัมมาที่1 ของศาสนาครับ  ระดับ 2 นั้นเล่า  ตามรู้ตามเห็นสภาพของสิ่งต่างๆตามภูมิแห่งปัญญาแห่งตนที่ได้ศึกษาตามหลักธรรมแห่งศาสนาอยู่    หรือไม่ก็กำหนดรู้เองตามสภาพแวดล้อมที่เราเผชิญอยู่ ว่าสิ่งใดแปรเปลี่ยนไปไม่คงที่  บังคับไม่ได้  แลปรารถนาสิ่งใดก็ไม่สมปรารถนา  ประสพต่อสิ่งที่ขัดอยู่ในใจเราอยู่เสมอๆมา  จนต้องดิ้นรนแสวงหาทางออกจากสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอมา  อันนี้เป็นความเ็ห็นในการกำหนดรู้ในสิ่งที่เรารู้สึกอึดอัดและอัดอั่นตันใจ ในบางครั้งก็มีคนคิดอยากตัดช่องน้อยเฉพาะตนเหมือนกัน  เพราะเหนื่อยหน่ายในความเครียดทั้งปวง (ทุกข์ ) อันนี้เป็นสัมมาระดับ 2  ส่วนระดับ 3 นั้นเป็นการตามรู้ตามเห็นแห่่งเหตุเกิดทุกข์ทั้งปวง  เมื่อเราเข้าใจในเหตุแห่งการเกิดทั้งหลายทั้งปวงอันสูงสุด  วิถีทางอันถูกต้องต่างๆจะค่อยๆแจ่มชัดขึ้นเรื่อยเองตามธรรมชาติ  ส่วนบทบัญญัติแห่งสมมุติทั้งหลาย  จะกระจ่างเองเมื่อใดเราเข้าใจต่อต้นตอของเหตุเกิดทุกข์ทั้วปวงอย่างแจ่มแจ้งตาม ปฎิจสมุปบาท  คนทุกคนที่เดินในทางๆนี้หรือทางแห่งธรรม  ล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน  จะต่างกันก็แค่วืถีแห่งคำสอนของครูอาจารย์และแนวทางในการปฎิบัติ  ทางๆใดที่ไม่สอนให้เราก้าวไปจนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์  ทางนั้นก็เป็นสัมมาต่างระดับก็เท่านั้นเอง  ต่างก็อยู่ในบันไดคนละขั่นในทางๆเดินเดียวกัน  กระผมเองก็เป็นลูกหลานตถาคต...ไฉนเลยจะกล้ากล่าวตู่  พุทธวัจนะของพ่อได้  ศาสน์แห่งการไม่ยอมหลับแม้แต่ในคำกล่าวขานทั้งปวง  ก็เห็นจะมีแค่ศาสน์นี้เท่านั้นและครับท่านทั้งหลาย   ขอขอบคุณในความห่วงใยจากท่านเกรียติคุณ     ไม่ต้องห่วงผมนะครับ   คำว่ามีกับไม่มีมันต่างกันโดยสิ้นเชิง  แต่คำว่าไม่มีในความหมายของผมนั้นผมจะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนแน่นอน  รับรองครับทุกๆถ้อยคำที่ท่านทั้งหลายเป็นห่วงผมๆจะเก็บไปพิจารนาเพื่อประโยนช์ของผมและคนรอบข้างครับ..สัมมาทิฎฐิ....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 14, 2012, 10:25:05 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #26 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2012, 01:51:07 AM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
- อย่างไรก็ตามแต่ ให้คุณเรียนรู้ทุกข์ให้มาก ให้รู้สภาพของทุกข์ ภาวะสภาพจิต ความรู้สึก สภาวะที่เป็นทุกข์ เล่นกับทุกข์ โดยที่ไม่ทุกข์ตาม เพราะรู้เหตุแห่งทุกข์ และ ทางดับทุกข์ รู้มีกตัญญู กระทำตนในวิถีที่ไม่เบยดเบียนตนเองและคนอื่น กระทำใน กายะกรรม วจีกรรม นโนกรรม ที่เป็นกุศล ความหมายของคำว่า กุศล  คือ เว้นกายเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น มีความเอื้อเฟื้อ แบ่งปันสิ่งที่ดีงามเป็นสุข แก่ผู้อื่น ไม่ประกอบไปด้วยความ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น

เรียนรู้สภาพจริงที่เป็นปรมัตถธรรม โดยปราศจากสภาพจิตที่คิดปรุงแต่งเอง
เรียนรู้เข้าถึงสภาพจริงของกุศลจิต ที่ไม่ใช่รู้จากสภาพคิด เป็นสภาพจริงๆที่รู้สึกได้ที่เรียกว่า ปรมัตถ์
เรียนรู้แยกแยะระหว่างเมตตากับความโลภ ที่ไม่ใช่รู้จากสภาพคิด เป็นสภาพจริงๆที่รู้สึกได้ที่เรียกว่า ปรมัตถ์

หาเหตุแห่งทุกข์ของความรัก ว่าเพราะอะไร
หาเหตุแห่งทุกข์ของความโลภ ว่าเพราะอะไร
หาเหตุแห่งทุกข์ของความโกรธ ว่าเพราะอะไร
หาเหตุแห่งทุกข์ของความหลง ว่าเพราะอะไร


- ต้องเรียนรู้เองโดยที่ไม่ต้องไปอ่าน ไม่ฟังเพื่อจดจำ รู้แค่ทางกัมมัฏฐานแบบไหนที่ควรแก่งานพิจารณา

- หากคุณหาเหตุปัจจัยมันได้ คุณหาทางพ้นทุกข์ได้ซึ่งเป็นทางที่สามารถเรียนรู้ได้ง่าย เข้าถึงได้ง่ายและเจริญปฏิบัติได้ง่าย สืบต่อไปจนถึง ความเป็นสัมมาโดยชอบใน อริยะมรรคมีอง ๘ ได้ง่าย ความทุกข์ก็จะเบาบางลงจนถึงหมดไปซึ่งทุกข์ และ สามารถบอกต่อและพูดกับบุคคลใดๆให้ปฏิบัติกระทำต่อด้วยความเข้าใจโดยง่ายเพื่อให้ความทุกข์ของเขาลดลง จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #27 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2012, 08:18:41 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
กุศลอันสูงสุด  คือความที่เป็นอิสระในตัวของมันเอง  ไม่อิงและไม่อ้างอิงในกระบวนการใดๆในชีวิต  อันนี้คือกุศลอันสูงสุด  ด้วยความเป็นจริงไม่มีสิ่งที่เราต้องดับมัน  แลไม่มีสิ่งๆใดเลยที่เราต้องบรรลุถึงอะไร และไม่มีใครเลยที่ต้องทำอะไรเพื่อให้พ้นหรือรอดพ้น  นั้นคือธรรมชาติเดิมแท้แห่งชีวิต ( ที่ทุกข์ก็เเพราะความคิดและเบื้องหลังของความคิดทั้งนั้น )  จะธรรม หรือโลก  ก็เพราะความคิด  (และที่มีนั่นมีนี่ก็เพราะความคิด  และเบื่องหลังของความคิดทั้งนั้น) ..เมื่อใดตื่นและลืมตาเห็นจริงต่อธรรมชาติเดิมแท้ของชีวิต  มันก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราต้องทำ  และคิดมากอีกต่อไป...จิตหนึ่งนี้เท่านั้นที่เป็นพุทธ.....ไม่มีแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย  เพียงแต่สัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆเสีย  และเพราะเหตุนั้น  เขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก  การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเองทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ  การทำเช่นนั้นเท่ากับการใช้สื่งที่เป็นพุทธะให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ  และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต  แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขาอยู่ตั้งกัปหนึ่งเต็มๆ  เขาก็จะไม่สามารถลุถึงพุทธภาวะนั้นได้เลย  เขาไม่รู้ว่า  ถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง  และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น  พุทธะก็จะปรากฎตรงหน้าเขา  เพราะว่าจิตนี้คือพุทธะนั้นเอง  และพุทธะก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง  สิ่งสิ่งนี้เมื้อปรากฎกอยู่ที่สามัญสัตว์  จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่  และเมื่อปรากฎอยู่ที่พระพุทธะเจ้าทั้งหลายจะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่  สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้งหกก็ดี  การบำเพ็ญข้อวัตรปฎิบัติคล้ายๆกันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่นำ้ำคงคาก็ดีเหล่านี้นั้น จงคิดดูเถิด เมื่อเราเป็นผู้สมบูรณ์โดยสัจจะพื้นฐานในทุกๆกรณีอยู่แล้ว คือเป็นจิตหนึ่ง หรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรพยามจะเพิ่มเติมอะไรได้แก่สิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้วนั้นด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆซึงไร้ความหมายเหล่านั้นไม่ใช่หรือ  เมื่อไรโอกาศอำนวยให้ทำก็ทำมันไป  และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว  อยู่เฉยๆก็แล้วกัน
     ถ้าเรายังไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า  จิตนั้นคือพุทธก็ดี  และถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่นในรูปธรรมต่างๆก็ดี  แนวความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่  และไม่เข้าร่องเข้ารอยกันกับทางโน้นเสียเลย  จิตหนึ่งเท่านั้นที่เป็นพุทธะ  ดังคำตรัสที่ว่า  ผู้ใดเห็นจิต  ผู้นั้นเห็นเรา  ผู้ใดเห็นปฎิจจสมุปบาท  ผู้นั้นเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นตถาคต.....ธรรมชาติเดิมแท้แห่งชีวิต.....ไม่เป็นของสั้นหรือของยาว  มันไม่ใช่สีเขียวหรือเหลือง  มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกหรือผิด  มันไม่ใช่ธรรมหรือกิเลส  มันมิได้เกิดหรือว่าดับสูญ  และมันไม่ถูกกักขังโดยประการใดๆ  จึงไม่จำเป็นที่เราต้องปลดปล่อยมันให้เป็นอิสระ.........สัมมาทิฎฐิ.........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 16, 2012, 08:41:26 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #28 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2012, 02:06:38 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
งั้นคุณก็คงดับทุกข์ไม่ได้ และ ไม่รู้ทางดับมัน คงได้แค่อ่านหนังสือมาโพสท์ น่าเสียดายนะครับ นี่เรียกว่ามิจฉาทิฐิ ไม่ใช่ สัมมาทิฐิ แสดงว่าคุณไม่ใช่สาวกในพระพุทธศาสนา เพียงแต่อ้างถึงพระพุทธศาสนาและคำพูดต่างๆในหนังสือมากล่าวเท่านั้น น่าเสียดายนะครับ พยายามบอกคนอื่นให้ดูและทำตาม แต่ตนเองกลับไม่รู้จริงรู้แค่ในหนังสือ มิจฉาทิฐิโดยแท้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 22, 2012, 02:09:01 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #29 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2012, 10:26:46 PM »

Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
สันทิฎฐิโก...แปลว่า...เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฎิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
อะกาลิโก...แปลว่า...เป็นสิ่งที่ปฎิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เอหิปัสสิโก...แปลว่า...เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า,ท่านจงมาดูเถิด:
โอปะนะยิโก...แปลว่า...เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
ปัจจัตตัง  เวทิตัพโพ  วิญญูหิ...แปลว่า...เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน
ตะมะหัง   ธัมมัง   อะภิปูขะยามิ...แปลว่า...ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง  เฉพาะพระธรรมนั้น...ตะมะหัง  ธัมมัง  สิระสา  นะมามิ...ข้าพระเจ้าน้อบน้อมพระธรรมนั้นด้วยเศียรเกล้า......สัมมาทิฎฐิ.....
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 5  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ กันยายน 16, 2022, 08:19:45 AM