somchai_eee
|
|
« ตอบ #45 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2012, 11:50:22 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
เห็นจิตเห็นใจว่าไม่ใช่เรา เมื่อไหร่ ความยึดมั่นในความรู้ทั้งหลายที่มีอยู่ จะพังทะลายลงเอง
สาธุครับ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #46 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2012, 09:54:45 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น สิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยอาศัยกันแล้วจึงดับ แม้ไม่ใคร่ครวญ ตามรู้หรือไม่ตามรู้ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น เป็นไปตามธรรมชาติ ตามลักษณะของธรรมชาติ เป็นอยู่อย่างนั้นของมันเองตามปรกติธรรมดาของมัน ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่อะไรเลย จะกล่าวอย่างไรก็ไม่ถูก หยุดใช้ความรู้สึกกับมันว่าเยี่ยงไร...มันสิ้นสุด..สุดของสัมมาทิฎฐิ - นิพพาน
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 23, 2012, 09:58:08 PM โดย ประวิต »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #47 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 11:45:58 AM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
เห็นชาวพุทธทั้งหลายเปิดอ่าน และให้ความสนใจ ในสัมมาทิฏฐิ และนิพพาน ก็รู้สึกดีใจครับ เชื่อเถอะครับว่านิพพานมีจริง และเราก็สามารถทำให้แจ้งได้ในปัจจุบันนี้จริงๆ ขออนุโมธนากับทุกท่านครับ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #48 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 10:00:18 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น สิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยอาศัยกันแล้วจึงดับ...........สิ่งใดเกิดด้วยปัจจัย สิ่งนั้นก็ดับด้วยปัจจัยนั้นๆ เพราะอวิชาเป็นปัจจัยจึงก่อให้สังขารเกิด........เพราะอวิชาดับเป็นปัจจัยจึงก่อให้สังขารดับ...มันก็เช่นนั้นเองท่านผู้เจริญ.....แล้วอวิชาคืออะไรละ...ก็ไอ้สหมองปึกนั้นแหละครับท่านผู้อ่าน....สัมมาทิฎฐิแลนิพพาน....
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #49 เมื่อ: มกราคม 17, 2013, 08:40:57 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
สหมองปึกยังไม่พอ แถมยังบวกจิตนาการบ้าๆเข้าไปอีก เลยเตลิดเปิดเปิงถึงบางยี่ขัน โถ่พระคุณเจ้า กระทำลงไปจริงๆเถอะไม่นานเราจะเข้าใจ ในบริบทของมัน ที่เราเรียกว่า สัมมาทิฎฐิกับนิพพาน........................
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #50 เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 09:39:41 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
วันนี้วันพระ 8 ค่ำ เดือน2 เลยปรารถนาที่จะเขียนให้ไพเราะซักหน่อยครับท่านผู้อ่าน หลังจากใช้บทบู้มานาน...เหมือนหนังจีนกำลังภายในเลย.. ........ประโยนช์ในการอ่านและฟังนั้นมีมาก ถ้าเราใคร่ครวญให้มาก ในบทความที่เราสนใจ ใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีกกระทำบ่อยๆๆกระทำเสมอๆ ไตร่ตรองและใคร่ครวญอยู่เป็นนิจ หรือเป็นประจำทุกวันทุกเวลาที่เรามีโอกาศคิดและใคร่ครวญหรือทดลองกระทำ...นี้แหละครับคือการภาวนา ที่จะทำให้เรานั้นมีปัญญาที่แท้จริงและเข้าใจต่อธรรม ที่เป็นธรรมมะแบบสัมมาทิฎฐิที่แท้จริง ปฎิบัติในศีลก็ไม่เป็น...ศีลละพัตตามาตร..เขียนตามบาลีไม่ถูก(หรือหลงงมงายในศีล หรือข้อวัตรแห่งตน) ....มีสมาธิก็ไม่มุ่งในทางสงบ....มีธรรมมะหรือก็เป็นเพียงธัมมารมณ์.....ที่นำมาเล่าขานมิรู้จบ ..........อนิจัง แปลว่าไม่เที่ยง สิ่งเดียวถ้าเรารู้และใคร่ครวญอยู่เป็นนิจ หรือกระทำบ่อยๆในการคิดละรึก เช่นคิดกลับไปและคิดกลับมา ดูบ่อยๆดูเนืองๆ จากที่รู้เฉยๆ ให้มันเริ่มอยู่ในความรู้สึกของเรามากขึ้น ถี่ขึ้นจนมันอยู่ในใจเราตลอดเวลา...คิดมากขนาดนี้บวชไม่สึกแน่ๆท่านเอย บันใดขั้นที่1-2-3-4-5-6-7-8-9-มันก็เกิดขึ้นเองต่อเนื่องตามวันเวลา เป็นไปตามธรรมชาติของความรู้ที่เราใคร่ครวญ...รู้ขั้นที่ 1-2-3 ยังอาจถกเถียงคนอื่นๆอยู่ แต่ถ้ารู้ในขั้น 4-5-6คงไม่ถกเถียงใครต่อใครแล้วได้บ้าง..ว่าแล้วมันเริ่มปลงได้จริงๆ.. (เพราะมันรู้นานและเคยชินจนเริ่มเป็นธรรมชาติของใจแห่งตนมากขึ้น) 7-8-9 ทำเอาเองนะคับรู้แล้วว่ามันไม่มีอะไร มาบอกกันบ้างเด้อพ่อคุณ.....สัมมาทิฎฐิ-นิพพาน.....
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 19, 2013, 09:41:45 PM โดย ประวิต »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #52 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2013, 09:07:34 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
ความคิด-ความรู้-สังขาร-อารมณ์-สิ่งเหล่านี้คือ-มิฐฉาทิฎฐิและสัมาทิฎฐิ-สองสิ่งนี้มีเหมือนกันและเป็นสิ่งเดียวกัน-จะแตกต่างกันก็เพียงอารมณ์-ที่เสวยในความรู้-หรือความคิด-หรือสังขาร-ที่ปรุงแต่งในขณะนั้น-อารมณ์ที่เสวยในขณะจิตปรุงแต่งจะแตกต่างกันออกไป--คิดหรือปรุงอย่างมีตัวตนแบบบ้าคลั่ง-เขาเรี๊ยกว่าพวกคนชั้นต่ำ-ที่คิดและปรุงแบบบ้าตามกิเลส-ตัณหา-อุปาทานแห่งตน--คิดอย่างมีความรู้-ที่ร่ำเรียนมา-และได้คิดใคร่ครวญดีแล้ว-แต่ก็ยังบ้ากับอารมณ์ของความคิดอยู่--พวกนี้คนชั้นกลาง--คิดในความรู้ที่ร่ำเรียนมาโดยแยบคาย-หรือใคร่ครวญดีแล้ว-ทราบซึ้งแล้ว-จนมีสติ-บอกสอนตนเองได้ดี และคอยเตือนตนเองอยู่เนืองๆ-ให้ทรงอารมณ์ ในความรู้ ความคิดแห่งตนได้--แต่ยังก้าวไม่ข้ามพ้นความมี หรือความเป็นได้--พวกนี้คือคนชั้นสูง--อะไรๆๆจะมี จะอยู่ หรือจะไป ในวันนี้เพลานี้--จะถูกหรือผิด--ดีหรือชั่ว--หรืออะไรก็ตาม--เขารู้อย่างมีสติและนิ่งเฉยได้บ้างตามสมควรแห่งครรลอง--เขาคืออริยะบุคลที่กำลังเดินทาง..............สัมมาทิฎฐิ........
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #53 เมื่อ: มีนาคม 09, 2013, 09:46:26 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
ขอให้ทุกท่านทีเปิดอ่านในบทความ มีความสุขครับ แตกฉานในทิฎฐิ 62 บทความดีไม่ดี ท่านเป็นผู้พิจารณา กระผมมีเวลา จะมาเขียนแสดงต่อไปเรื่อยๆ ตามแนวทางของ......สัมมาทิฎฐิ และ นิพพาน.......
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #54 เมื่อ: มีนาคม 16, 2013, 08:36:49 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
ความรู้ที่ถูกต้องเป็นเพียงมุมมองที่เปลี่ยนไป..จะรู้อย่างไรก็ช่าง ถ็าใช้ความรู้นั้นข่มใจตนเองยังมิได้ นั้นคือความรู้แบบชิวๆ............ ในทัศนะของเรา แบบสัมมาทิฎฐิ.....ความรู้นั้นต้องเป็นไปในทิศทางของการปลง และทำใจให้สงบ จะสงบในความวุ่นวาย หรือสงบแบบปลีกวิเวก หรือสงบในอุกเบกขาธรรม อันนั้นก็แล้วแต่บารมีของแต่ละบุคล .ให้ยอมรับความเป็นจริงตามธรรมชาติ ไม่แก่งแย่งชิงดี ไม่ดื้อดึงในความคิดของตนเอง ไม่ยกตนข่มผู้อื่น แค่เพียงข้อวัตรบ้าๆบอๆ เป็นอยู่ด้วยหลักเมตตาธรรม เข้าใจผู้อื่น ด้วยหลักธรรมที่ว่า สัพพะชีวิตทั้งปวงก็มีครรลอง มนุษย์ทุกตนก็มีความรู้สึกนึกคิดเช่นกัน ไม่อวดตนในความรู้แห่งตน เพราะความรู้ทั้งปวงไม่จริงซักสิ่งเดียว....สิ่งที่จริงคือไม่รู้อะไรเลย.............สัมมาทิฎฐิ และ นิพพาน
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #55 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2013, 09:05:22 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
สัพเพสังขาราอนิจา สัพเพธัมมา..อนัตตาติ อนัตตาเป็นหลักธรรมอันสูงสุด...ในเมื่อไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนอย่างแท้จริง...ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น...แล้วอะไรเล่าที่เป็นตัวตน ...สัมมาทิฐิและนิพพาน....
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #56 เมื่อ: กันยายน 19, 2013, 10:03:11 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
เห็นผู้คนสนใจในแนวทางมากมาย ก็เลยอยากเขียนต่อ ผู้ที่วิ่งเลาะตามฝั่งนั้นมีเป็นจำนวนมาก เพราะติดยึดในทิฎฐิที่ซ่อนเงื่อนของตนเองนั้น วิจิกิจฉา ครับบุคลใดไม่เคยก้าวผ่านนิวรณ์5 ด้วยกำลังอาณาปาณสติ บุคลเหล่านั้นจะแสดงธรรมก็เพียงการแสดงทิฎฐิแห่งตนเท่านั้นเอง ความสงบรำงับจากอารมณ์หยาบ ด้วยอณาปาณสติ จะทำให้เราแยกอารมณ์ออกว่า นั้นคือธรรมมะหรือทิฎฐิ ไม่เกี่ยวกับเรียนสูงหรือต่ำ จริงไม่จริงลองทำดู...........สัมมาทิฎฐิและนิพพาน
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #57 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2015, 09:26:06 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
เห็นผู้คนสนใจในแนวทางมากมาย ก็เลยอยากเขียนต่อ ผู้ที่วิ่งเลาะตามฝั่งนั้นมีเป็นจำนวนมาก เพราะติดยึดในทิฎฐิที่ซ่อนเงื่อนของตนเองนั้น วิจิกิจฉา ครับบุคลใดไม่เคยก้าวผ่านนิวรณ์5 ด้วยกำลังอาณาปาณสติ บุคลเหล่านั้นจะแสดงธรรมก็เพียงการแสดงทิฎฐิแห่งตนเท่านั้นเอง ความสงบรำงับจากอารมณ์หยาบ ด้วยอณาปาณสติ จะทำให้เราแยกอารมณ์ออกว่า นั้นคือธรรมมะหรือทิฎฐิ ไม่เกี่ยวกับเรียนสูงหรือต่ำ จริงไม่จริงลองทำดู....ครับเราต้องทำมันด้วยตัวเราเอง..สงบด้วยตัวเราเอง....ความรู้ในธรรมะที่มันมีในตัวเราจะบอกเราเองว่า..อะไรคือผิด..อะไรคือถูก.....(มันจะเป็นกรรมหนักที่เราแสดงธรรมโดยความหลง)...คนที่เคยทำสมาธิได้ในระดับการละนิวรณ์...จะเข้าใจในอารมณ์ของตัวเองทันที..ว่าเมื่อก่อนที่อารมณ์ยังทำสมาธิไม่ได้..กับอารมณ์ที่มีสมาธิแล้ว..มันต่างกันอย่างไร..และมุมมองของเราเองมันจะต่างกันอย่างไร...จะเข้าใจอะไรได้อีกมากมายเลยครับ..ทำมันให้ได้จริงๆนะครับ...แล้วท่านจะเข้าใจเอง..ว่าความคิดที่วิตกวิจารณ์..กับความรู้ที่แท้จริงมันต่างกันอย่างไร.....สัมมาทิฎฐิและนิพพาน
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ประวิต
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2015, 02:40:28 PM » |
|
Permalink: สัมมาทิฏฐิ - นิพพาน
ยินดีเช่นกัน ความมุ่งหวังของเพื่อนร่วมทางในโพธิสัตว์ธรรมไม่มีอะไรมุ่งหวังในการตอบแทน การฝึกตัวเราที่ยิ่งขึ้นไป...อธิจิตเต จะอาโยโค การหมั๋นทำจิตให้สูงขึ้นนั้นเป็นหน้าที่ของเรา การรักษาจิตไม่ให้ตกต่ำก็เป็นหน้าที่...แต่ในยุคปัจจุบันการทำจิตให้สูงขึ้นมันยากพอควร..ต้องอาศัยศัทธาและความเพียรมาก..ต้องข่มใจตัวเองจากราคะที่แวดล้อมตัวเรา...ขอให้ทุกท่านจงหมั๋นในการฝึกสมาธิ มันจะช้วยให้มุมมองของเราคมยิ่งขึ้นครับ กินน้อยนอนน้อย อะไรที่มันเป็นภาระก็ลืมๆตัดๆทิ้งๆมันซะบ้าง เดี๋ยวตัวมันจะเบาไปเอง อย่าไปเคร่งทางใดทางหนึ่งให้มันมากจนเกินไป มีสติอยู่ที่ลมหายใจ..แล้วสติมันก็จะอยู่กับเรา..มันไม่มีอะไรมากหรอกครับอย่าไปวิตกวิจารณ์มันมาก......มันเป็นเพียงหน้าที่ๆเราต้องทำ..จนกว่าสังขารจะแตกดับ...มันเป็นหน้าที่ๆเราต้องรู้ และ.ต้องทำ ..........สัมมาทิฏฐิและนิพพาน
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|