เมษายน 19, 2024, 10:03:11 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที  (อ่าน 39659 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« เมื่อ: เมษายน 06, 2012, 09:56:20 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
หนทางแห่งการแสวงหาจุดเริ่มและจุดจบ และจุดหมุ่งหมายที่จะผ่อนคลายความวิตกกังวล อันเป็นความไม่สบายใจ(ทุกข์ตามลำดับชนชั้นตามสภาพแวดล้อม)  ทุกชีวิตต่างดิ้นรนแสวงหาทางๆเช่่นเดียวกัน  บางบุคล ไม่รู้ตัวด้วยซำ้ไปที่ทำอย่างนั้นเรื่อยไป  บางบุคลก็รู้ตัวว่าแสวงหาอยู่  แต่ใครเล่าจะสมหวังเมื่อเริ่มต้นคิดและทำ  มันไม่ฟลุ๊กเหมือนซื้อล๊อตเตอรี่ปุ๊บถูกรางวัลที่1ปั๊บ  มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกพี่น้องเอ๋ย  แต่กระนั้นทุกฅนก็ต้องกระทำเรื่อยๆไป ตามวิถีทางที่ตนเองดำเนินอยู่และเดินไปตามครรลองของชีวิตที่เป็นอยู่
ฉะนั้นชีวิตทุกๆชีวิตที่ดำรงค์อยู่และกำลังเดินทางไปต่างก้แสวงหาจุดหมุ่งหมายเดียวกัน  ไม่มีทางรอดพ้นใดๆมี่จะช่วยท่านได้  นอกจากเปลี่ยนมุมมองของตัวท่านเองเท่านั้น  ตามครรลองแห่งวิถีของการเรียนรู้ด้วยหลักการเดิมๆ  ถ้าหากว่าท่านศัทธาแต่มุมมองเดิมๆ เซมๆ  ชีวิตท่านก็เซมๆเปลี่ยนอะไรไม่ได้  เชื่อเหอะความวิตกกังวลเป็นปัญหาหลักของมนุยน์ทั้งมวล  ดับความวิตกกังวลได้เื้บื้องต้น(นิพพาน20%)  ชาวพุทธจะหลับใหลตลอดกาลเมื่อปักใจเชื่อตามรูปธรรมแห่งสัทธา  แต่ประตูแห่งการระงับ และดับสนิท  ของความวิตกต่างๆยังเปิดอยู่เป็นนิจ ตลอดอนันต์กาลล์  (แล้วจะเล่าสู่กันอ่านใหม่).....สัมมาทิฎฐิ....






บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 07, 2012, 06:39:07 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
มาอีกแล้วแนวทางที่ไม่เหมือนใครแต่สงบได้ด้วยตัวเราที่เข้าใจตามมุมมองตามธรรมชาติแท้  84000พระธรรมขันธ์  84000คุรุคณาจารย์  8400ผู่รู้ทั้งหลาย  84000ตำราเรียน  84000ทิฎฐิ  ทางใดเล่าจะตอบสนองเราในปัจจุบันได้  ที่เราจะผ่อนคลายความวิตกกังวลลงได้  ซึ่งเป็นเป้าหมายของพระพุทธศาสนา  บางบุคลอาจอาศัยศีลสังวรณ์  ทานสังวรณ์  เพื่อให้ความรู้สึกของเราได้ผ่อนคลายไปในทิศทางที่ดี  เรียกว่าบุญที่เกิดจากศีลจากทาน  ก็เป็นตัวระงับความกังวลลงได้ตามระดับของการกระทำมากน้อยเมื่อเราระลึกถึง  ความละอายต่อบาป ความกรงกลัวต่อบาปนั้น  จำเป็นต้องดำรงค์อยู่คู่สังคมของมวลมนุษย์  เพราะเราจะมีชีวิตอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียนด้้วยกายวาใจไม่ได้  เพราะเราไม่สามารถจะวางใจได้เลยกับคนรอบข้าง  ทุกอย่างก็จะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง(ทุกข์ล้วนๆ)  ..ตั้งมากมายมุมมองเหลือเกิน  แล้วเราจะทำอย่างไร  จะเชื่อไปในทิศทางและแนวทางไหนดี  ตื่นเถิดชาวพุทธ  ประตูแห่งนั้นยังคอยเราอยู่  เพียงแค่มีกัลญาณมิตรที่ดี  แล้วกล้าที่จะคิดตามเปิดมุมมองของเราอย่างไม่ต้องกลัว  ลืมพิธีกรรมที่เราเคยเชื่อว่าอย่างนั้นเป็นจริงและเป็นจริงๆ  พิสูทธิ์กันในประจุบันชาติว่านิพพานนั้นจับต้องได้ขณะที่เรามีชีวิตอยู่  สงบอย่างที่เราสงบตามธรรมชาติที่เป็นจริง  ความรู้ที่จริงไม่ต้องให้ใครรับรอง  และเราจะบอกใครก็ไม่ได้  เพราะอารมณ์ความรู้สึกแต่ละคนไม่เหมือนกัน  หนังสือตัวเดียวกัน  อ่านเหมือนกัน  รู้เหมือนกัน  แต่จินตนาการซาบซึ่งต่างกัน...สัมมาทิฎฐิ...ดึกซักหน่อยจะมาใหม่...อิๆๆ
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 07, 2012, 10:10:39 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
ก่อนนอนนึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์และความเมตาขอพระพุทธองค์(เผื่อจะเป็นพุทธบริษัทที่ดีบ้าง)  ความรู้สึกกดลงบนแป้นพิมพ์ กลายเป็นตัวอักษรบนหน้าจอ  เพื่อเป็นกัลญานิมิตรที่ดีต่อเพื่อนๆพุทธบริษัท  ไม่หวงห้ามในการวิจารณ์และถามไถ่  กลับมี่ความยินดีในการที่ท่านเปิดอ่านและวิตกวิจารณ์ตามหัวข้อ....เราเข้าใจดีในพัฒนาการของโลกและชีวิตมนุษย์ในปัจจุบันที่ทีความปารถนาตามอารมณ์และมุมมอง  ที่ตนเองผูกพันอยู่....มันไม่ใช่เรื่องง่ายดอกครับพี่น้อง  เพราะความหลากหลายของรูปธรรมที่เราเกี่ยวข้องอยู่มันมากเหลือเกิน  จนบุคลบางคนท้อแท้ที่จะพูดถึงเหตุผลอันสุดยอดที่จับต้องได้จริงๆ  จึงหันมาใช้รูปธรรมต่างๆเพื่อหลอกล่อให้ท่านหันกลับมาฉุกคิด  (เช่นสวรรค์และนรก)  แต่มันก็มีจริงนะครับท่านพี่น้อง  ความรู้สึกปารถนา  ที่สมปารถนาบ้างและไม่สมปารถนาบ้าง  เป็นตัวขับเคลื่อนให้เราต้องดิ้นรน  ส่วนกิริยาของกายนั้นที่หิว ง่วงนอนและนอนหลับเป็นต้น  เป็นกิริยาของธรรมชาติสิ่งมีชีวิตเท่านั้น  เมื่อใดท่านคับแค้นใจ(ทุกข์) โปรดนึกถึงธรรม และแสวงหาธรรมบ้างท่านจะค่อยๆเห็นทางออก...หลับตาโมนนึกง่าย...ชีวิตก็แค่การเดินทางจากจุดเกิด...เจริญวัย...และจุดสุดท้ายจบถึงปลายทางนอนนิ่งในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆสิ้นฤทธิ์เดชทันที...ต่อจากนี้อย่าพึ่งคิดมาก เพาะมันจะพันธนาการเราไม่มีที่สิ้นสุด  คิดง่ายๆแค่นี้ทุกข์ก็หดหายคลายได้เยอะเลยครับพี่น้อง...ง่วงแล้วขอลาก่อน...สวัสดีครับ...สัมมาทิฎฐิ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 07, 2012, 10:14:40 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: เมษายน 08, 2012, 11:30:21 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
ดีใจที่เห็นท่านทั้งหลายเปิดอ่าน  จิรักหรือจิหลอกอันนี้บ่หู้  แต่ก็ดีใจครับ  ชีวิตคนเราบางครั้งก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดมาเพื่อประโยชน์อันใด  แม้แต่การดำรงค์ชีพอยู่ไปวันๆ  ก็ไม่รู้ว่าเราจะทำไปเพื่ออะไร  ถ้าหากไม่ประสพกับสิ่งที่รักที่พอใจบ้าง  หรือประสพกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจบ้าง  หรือว่าสมปารถนาบ้างไม่สมปารถนาบ้าง  ชีวิตก็จะไม่มีรสชาติหรือจิตนาการอะไรเลย   มันก็ดีเหมือนกันนะครับพี่น้อง  ถ้าหากสัมปฤดีไม่มี  จะได้ไม่รู้ร้อนรูร้หนาว  ไม่มีฝนตกไม่มีแดดออก  ไม่มีดีไม่มีชั่ว  ไม่มีถูกไม่มีผิด  ไม่มีการกระทำที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง  ไม่มีเสื้อแดงและเสื้อเหลืองหรือเสื้อหลากสี  ไม่มีสัมปฤดีมันก็เป็นธรรมชาติล้วนๆ  ก็ดีเหมือนกันนะครับ  บางครั้งคนเราก็ไม่รู้จะคิดอะไรไปมากมายเนาะ  เกิดมาคงอยู่บนโลกกลมๆใบนี่ไม่นานก็ต้องตายสิ้นฤทธิ์แล้ว  โลกกลมๆที่ลอยคว้างอยู่กลางอวกาศ  เราจะเป็นผู้วิเศษมาจากใหนหนอ  หมู  หมา  กา  ไก่  และสัตว์ทั้งหลาย...มยุษย์ด้วย...  มันจะต่างกันอะไร  อย่างเก่งก็แค่มุมมอง  หรือทิฎฐิอุปโหลกสัมคัญไปเอง  360องศา  ก็เริ่มจาก 0 เวียนบรรจบ  จะกี่ลิ๊ปดาก็แค่ปลีกย่อย....สัมมาทิฎฐิ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 09, 2012, 09:33:21 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: เมษายน 09, 2012, 09:39:02 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
วันนี้ทำงานเหนื่อยมากครับ  ขอโทษเพื่อนร่วมทาง  ที่เปิดอ่านในวันนี้  ขอโทษอีกทีครับ  (ไม่มีอะไรจริงๆ)
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: เมษายน 11, 2012, 09:32:38 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
ไม่ต้องการจะได้อะไรหรอกครับ  จากการแสดงความคิดเห็นทุกๆครั้งในเว็บไชด์นี้  แต่เราเป็นชาวพุทธที่ศึกษา และค้นข้วา และปฎิบัติธรรมในพุทธศาสนา  20 กว่าปีแล้ว  เราก็ซาบซึ่งในพระมหาการุณา และพระเมตตา  ในพุทธองค์  แต่เราก็ไม่อยากเห็น  ศาสน์ที่เป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลก ต้องกลายเป็นศาสน์ที่มีแต่ความยึดในทิฎฐิและในรูปแบปต่าง  จนยากที่จะแยกแยะครับ  ว่าอันไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ  ในการปฎิบัติ   ตามแบบของผมแล้ว  ในครั้งแรกผมเริ่มต้นที่ๆศัทธาตามหลักของประเพณี  เชื่อว่าลูกผู้ชายนั้นต้องบวชให้พ่อแม่ก่อน ที่เราจะแต่งงานครับ  (17ปีเริ่มเหมือนท่านMAN123ครับ)  จากนั้นได้บวชแบบชาวบ้านๆทั่วไปแหละครับ...ครั้นบวชแล้วได้อ่านหนังสือ  ของ ปุ่น  จงขประเสิรฐิ์  เกิดศัทธาในแง่มุมต่างๆของชีวิตและสงสัย  จึงตามศึกษาและเริ่มปฎิบัติเอาจริงเพื่อลองของตามกำลังศัทธาด้วยเหตุผล  ผมไม่ทิ่งพระไตรปิฎก  และคำสอนของอาจารย์  แต่ก็ไม่เชื่ออะไรง่ายๆเปรียบเทียบกันตลอดมา  อนาปาณสติเป็นหลักสมาธิที่ถูกต้อง  ปฎิจสมุปบาทเป็นหลักแห่งปัญญา  สองสิ่งต้องสอดคล้องกันเป็นลำดับในหลักการปฎิบัติ  รู้เหตุทั้งปวงเป็นเหตุเกิด  และรู้เหตุทั้งปวงเป็นเหตุดับ (ปัญญา) แนวทางปฎิบัติจะไม่เอนเีอียง  ใจเราจะมีปุจฉา วิฉัจสนา อยู่ตลอด  นรกสวรรค์เรารู้เอง  ถูกผิดเรารู้เอง อัตโนมัติ  ทุกข์เพิ่ม หรือทุกข์ลด  หรือทุกข์ดับ  เราก็รู้  ไม่สามารถโกหกตัวเองได้ดอกครับ  (ออกจากโลกได้โดยธรรม  ก็ชงักงันโดยธรรม  กว่าจะแจ้งก็ลืมตัวไปตั้งนาน).....สัมมาทิฎฐิ.....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: เมษายน 20, 2012, 10:08:58 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
ออกจากโลกได้โดยธรรม  ออกจากธรรมโดยธรรม  เป็นเรื่องจริง  แต่กว่าเราจะรู้ว่าหลุดออกมันก็ใช้เวลานานโขทีเดียว  เมื่อมีชีวิตแบบมนุษย์โลกทั่วไป  ทุกบุคลรวมถึงตัวเราด้วยและครับ  ก็คิดแบบมนุษย์ทั่วๆไปตามสิ่งที่เราได้เรียนรู้ตามปรกติที่มนุษย์เกิดมา  เรียนรู้ตามสภาพแววล้อม และเรียนรู้ตามคำบอกสอนต่างๆ  จำ  และคิดตามเสถียรสภาพ  ซึ่งเป็นขบวนการของสมองและความรู้สึก  ทีจะแปลเป็นความคิด  (วิตก วิจารณ์)  และมีความเชื่อตามความรู้สึกเหล่านั้นที่แวดล้อมนั้นแหละ  และกลายเเป็นความเคยชินผูกพันตามแบบฉบับนั้นๆ  ซึ่งเรียกว่าอุปาทาน  ผูกพันโดยไม่รู้ตัว(อวิชา)บ่อเกิดแห่งเหตุทั้งปวง  ความสับสนทั้งหลายก็เริ่มขึ้น  ความปารถนาทั้งปวงก็จุดประกาย โดยแรงกระตุ้น มาจากพลังงานของธรรมชาติ ที่เป็นนธรรมชาติ) x+y ตามพลังงานของวงจรสนามแม่เเหล็ก  ที่แปรเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลงไปด้วยพลังงานทางความรู้สึกนึกคิดของสัตว์ ที่สมองมีการพัฒนาการตามจินตนาการ    (ปฏิจสมุบาป)เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี .... หรือว่าอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น (อิทัปปัจยตา)   ถ้าท่านทั้งหลายแตกฉานแค่สองหัวข้อนี้ท่านก็จะไม่แปลกใจต่อ เรื่องนรก สวรรค์เลย  และแนวทางปฏิบัติทั้งหลายเพื่อผ้นทุกข์ทั้งปวงด้วย  ท่านจะเข้าใจว่าเชื่องช้า  และเฉียบพลันนั้นมีจริงๆ......ขบวนการในการปฏิบัติธรรมนั้นที่สุดก็มุ่งหวังให้ใจนั้นเห็นตามสภาพความเป็นจริงว่าชีวิตมันคืออะไรและเป็นอะไรอย่างแท้จริง  แล้วทำใจวางเฉยได้  นิ่งได้  (อุเบกขา)ที่สุดมันก็อยู่ตรงนั้น  แต่คนเรา สมองปัญญาความคิดความรู้สึกต่างๆที่เรียนรู้และพัฒนาการต่างๆไม่เหมือนกัน  มันจึงมีคำสอนตั้งมากมาย  เพื่อหาทางออกให้กับชีวิตแต่ละบุคล  ...แต่ในปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนหมด  ท่านทั้งหลายครับ...ปฏิจสมุปบาท...ท่านจงลองศึกษาอย่างแท้จริงเถิด....แล้วท่านจะเข้าใจใน  อดีต  อนาคต  ปัจุบัน  ในชีวิตของท่าน...แล้วท่านจะมองเห็นทางออกของชีวิตของท่านเองไม่ต้องถามใครๆให้งงดอกครับ  เมื่อท่านแจ้งต่อปฏิจสมุบาทแล้ว  เส้นทางที่ท่านจะไปหรือทางๆที่ท่านจะเดิน  มันจะเป็นอัตโนมัติท่านจะไม่มีวันไข่วเขวดอกแม้จะมารกองใหญ่ขวางทาง........สัมมาทิฏฐิ........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 21, 2012, 09:31:10 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 23, 2012, 08:49:47 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
บ่เป็นหยั๋งดอก...สำหรับฅนว่างงานก็ต้องคิดมากเป็นธรรมดาปรกติ...ก็ต้องคิดๆๆๆๆๆๆ...ปรกติสำหรับฅนว่างงานครับ...ฅนมีงานทำ...ก็ต้องทำงาน ทำงานๆๆๆๆๆๆๆ...ไปจนกว่าจะเสร็จงานครับ...แม่นบ่...มันบ่ใช่เรื่องยากหรือง่ายดอก...มีทางให้เราเดินเราก็ต้องเดินตามทาง...เหนื่อยเราก็พัก  หายเหนื่อยเราก็ไปต่อ  ในขณะที่เดินผ่าน  มองเห็นสิ่งรอบข้างผ่านหูผ่านตา  ก็อย่าคิดไปวิตกวิจารณ์มันมาก  ถึงวิตกวิจาณ์บ้างก็เก็บเอาสิ่ที่เป็นประโยชน์ไปเพื่อประโยนช์ของชีวิตเรา  มันจะทำให้เราเข้าใจในชีวิตที่แท้จริงได้  และเกิดประโยนช์ต่อชีวิตที่แท้จริงๆของเรา  ทางออกและทางรอด  ก็ใกล้เข้ามา  บางครั้งใช้ศ้พท์ของตำรามากมันก็เหมือนขี้โม้  ใช้ธรรมดาบ้างก็ดีนะ  จะได้แปลง่ายๆหน่อย แม่นบ่  ในยามหลับก็ฝันไปเรื่อยๆ  ตื่นเต้นบ้างไม่ตื่นเต้นบ้าง  พอลืมตาตื่น  ก็คิดต่อว่าฝันเรื่องนี้เป็นจริงบ้างหนอเรื่องนั้นไม่เป็นจิรงบ้างหนอ  เอ๋าหลับก็ฝันตื่นมาก็ยังฝันต่ออีก  ไม่รู้จะฝันไปถึงใหน  คนเขียนก็บ้า  คนเปิดอ่านก็บ้า  มันก็บ้าพอๆกัน  ( แต่เราก็ไม่รู้ตัวหรอกครับว่าบ้าอยู่ )  ฝันดีทุกท่านครับเพื่อนร่วมทาง.....สัมมาทิฎฐิ.....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: เมษายน 25, 2012, 10:32:09 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
(ออกจาจโลกโดยธรรม) ( ออกจากธรรมโดยธรรม)  สัจนี้ไม่มีวันเสื่อมคลาย  และจะคงอยู่ตลอกาลนิรันท์  จะเกิดกี่ชาติที่เกิด  จะปฎิบัติในสายใดอาจารยร์ใด  จะรูปแบบไหนๆ  ผลสุดท้ายก็ต้องพานพบสัจจะนี้( ถึงเวลาของดอกไม้บาน)....อันที่จริงและไม่จริง  สำรับผู้เข้ามาใหม่ก็ต้องคิดๆมากเป็นพิเศษ  และธรรมดา  มันเขียนอะไรให้กูอ่านวะ  อ่านแล้วงง(.แถมด่าคนเขียนอีกว่ามันบ้าหรือเปล่า)...หรืออวดอุตริมนุยษ์ธรรมหรือเปล่า...เปล่าดอกเพื่อนร่วมทางครับ...เหตุผลและมุมมองเป็นสิ่งที่เราแสดงกันได้  เพื่อเป็นสติ  ก็แค่นั้น  หรือเป็นดอกไม้ริมทาง  หรือเป็นศาลาพักร้อนข้างถนน  เท่านั้นแล  จะเป็ยอะไรก็ช่างเถอะถ้าเรามองอย่างผู้มีบุญ  หรือผู้มีปัญญา  พอที่จะไปวัดไปวาได้บ้าง  คำๆเดียว  ของสิ่งเดียว  แสงสว่างอันไม่มีที่สิ้นสุดก็เกิดขึ้นได้(ปัญญา)  ทางๆนี้ที่เราแสวงหามันอยู่มันก็อยู่ใกล้เข้ามาเรื้อยๆ  จงคิดดูเถิดท่านทั้งหลาย  ถ้าเราปิดตัวเองเชื่ออย่างที่เราเชื่ออยู่  ความเชื่อนั้นแหละจะสร้างบันไดให้ท่านต้องเดินและต้องไต่มันขึ้นไปตามลำดับตั้งมากมายก่ายกอง  โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อใดจะสิ้นสุดหนอ  ออกจากโลกโดยธรรมนั้นง่ายดาย.....แค่เป็นหนี้สินเราก็ปวดเฮดแล้ว  ไม่สมความมุ่งหวังในชีวิติก็ทุกข์พอตายแล้ว  ใหนจะไมค่อยสมปรารถนาในชีวิตอีก  ปรารถนาสิ่งใดๆก็ไม่ค่อยสมปรารถนา  ใครเจอก็กลุ้มใจเป็นบ้าแล้ว  แล้วจะไม่แสวงหาทางออกได้ยังไง......ออกจากธรรมโดยธรรมซิเป็นเรื่องยาก....ความเชื่อนั้นมันทำลายกันยากจริงๆ  ใครบ้างจะกล้ากระโดดลงไปในอ่างที่ๆมันไม่มีอะไร  คิดแล้วใจหายครับ  สิ่งที่เราถือปฎิบัตินั้นเป็นความมุ่งหวังของช๊วิต  เป็นสิ่งที่จะชะโลมให้ใจเรานั้นอยู่ได้  และมีความหวังต่อไป  แม้เราไม่รู้ว่าข้างหน้าเราจะเจอกับอะไรบ้าง  ครับ  ทุกชีวิตดิ้นรนหาทางออกใหกับชีวิตทั้งนั้นแหละครับ  แค่เราหิวเราก็ต้องหาอาหารให้มันกิน  แต่เราจะให้มันกินแบบไหนเล่าก็แค่นั้นเอง.....ถ้าท่านต้องการหาทางออก....ไม่่ยาก..แต่มันก็ไม่ใชเรื่องง่ายดอกครับ....คิดๆๆๆๆจนหนึ่งผุดแล้วหยุดคิด....แล้วจะมาชวนคิดกันอีกนะครับ ... เพื่อนร่วมทาง.....สัมมาทิฎฐิ.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 25, 2012, 10:35:43 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: เมษายน 27, 2012, 09:52:16 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
ครับเป็นเรื่่องจริงในชีวิต...ที่มนุษย์เราทั้งหลาย.ทุกๆชีวิตต้องดิ้นรนหาทางออกให้กับชีวิตจริงๆ.ไม่ว่าจะมีชีวิตจะเป็นอยู่อย่างชาวโลก.หรือชาวธรรม.หรือชนชาติใดศาสนาใด.พุทธ.อิศลาม.ซิก.คริส.ฮินดู.และต่างๆ.ที่เป็นบุคลธรรมดา.และที่เป็นบุคลในฝ่ายธรรมต่างๆตามศาสนา.ุทกชีวิตต่างดิ้นรนเพื่อหาทางออกทางรอดพ้ินในชีวิตทั้งนั้น..รอดพ้นก็มี2ทาง...1ทางกายต่างๆ...2ทางใจต่างๆ...ไหนทางจะแสวงหาทรัพย์.หาเกีรยติ.หารถ.หาบ้าน.หาอะก็ไรตามที่ปรารถนาในความรู้สึกที่มีในขณะนั้นๆที่เรากำลังดำรงค์ชีวิตอยู่..ทางของสมหวังบ้างและทางที่ไม่สมหวังบ้าง..ทุกชีวิตต่างก็ดิ้นรนเหืมอนกัน..ใช่หรือเปล่าครับท่านทั้งหลาย...แม้แต่.สัตว์เดรฉาน.แม้แต่รูปของวิญญาณที่อยู่ตามภพต่างๆ...กามมาวจร..รูปาวจร...อรูปาวจร...เหมือนกันและครับ...ทุกชีวิตต้องดิ้นรนหาทางรอดทางออก...โลกกลมๆใบนี้ที่ลอยคว้างกลางอวกาศ..ใครเล่าที่สำคัญ..ใครเล่าที่เป็นจริง...และเหตุผลต่างๆใครเล่าที่เป็นจริง...ลองหลับตามโนภาพดูซิครับ..อดีต..อนาคต..ปัจุบัน..และอารมณ์ที่เราจินตนาการตามจิตสำนึกและความรู้สึกของเราที่ได้เรียนรู้มา..ที่เหนือกว่านั้นมันเป็นความเชื่อ..บางครั้งพิสูทธิ์ได(พุทธศาสนา)บางครั้งพิสูทธิ์ไม่ได้(เป็นไสยะ)และบ้างครั้งก็เป็นความเชื่อตามจินตนาการที่เชื่อว่าอย่างนั้นเป็นจริงและอย่างนั้นไม่เป็นจริง......ความรู้และความเข้าใจในลักษณะของที่ชีวิตเป็นอยู่อย่างแท้จริงตามธรรมชาติ...จะช่วยให้เราหายสงสัย...และคลายความวิตกกังวลลงได้ตามลำดับ...ตามสภาวะที่รู้อย่างแท้จริง...นั้นแหละครับเป็นทางออกที่แท้จริงของชีวิต...อนิจจัง...ทุกข์ขัง...อนัตตา...สูญญตา...ตถตา...อิทัปปัจจยตา....ภาษาบัญญัติเหล่านี้เป็นจริงตามธรรมชาติที่วิปัจสนาแลปุจฉา...มันวิถีแห่งเหตุผลที่เป็นนัยยะแห่งความคิดเห็นที่ถูกต้องที่จำเป็นมนุษย์ทุกบุคลต้องมี.....ยิ่งเกี่ยวเนื่องกับสภาวะของความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกวันนี้....คนเราทุกวันนี้ต้องดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดจากความที่ไม่มี...จากความเป็นด้อยต่าง...เพื่อให้เรามีอยู่...และมีกิน...ไม่เป็นด้อยกว่าใครๆ...แสวงหาความเป็นเลิศในสิ่งต่างๆ...สมปรารถนาก็ดีไป...ไม่สมปรารถนาก็ทุกข์ไป...มี่ความหวาดกลัวไปต่างนาๆ...หาทางออกด้วยวิธีการต่างนาๆ...ทางๆใหนเล่าที่จะสมปรารถนา....ความเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรมชาติอย่างแท้จริง....แล้วทำใจให้ปลงซะ...ทางนี้...ทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยท่านรอดจากความหวาดกลัวและวิตกกังวลต่างๆนาๆได้...นัตถิสันติ ปรังสุขขัง...สุขอื่นยิ่งกว่าการปลงได้ทำใจได้..สงบ..นั้นไม่มี....สัมมาทิฎฐิ.....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: เมษายน 28, 2012, 09:17:01 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
ความหวาดกลัวต่างๆ ความวิตกกังวลต่างๆ เป็นปัญหาหลักและเป็นปัญหาใหญ่สำหรับชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้..จะมองหาทางออกในชีวิตแทบจะไม่มี..ทางออกตามแบบฉบับที่เป็นเหตุเป็นผลตามแบบของชาวโลกทั่วๆไปที่กระทำตามๆกันอยู่ในปัจจุบันนี้  แทบจะไม่มีทางออกหลงเหลืออยู่เลย...ยิ่งดิ้นมันก็ยิ้งมัดตรึงตราให้แน้นขึ้น กระวนกระวายมากขึ้นตามลำดับ..ต้องแสวงหาโชคด้วยความขลัง...ต้องแสวงหาทางปลดปล่อยด้วยกรรมวิธีต่างๆ...จึงเกิดเป็นรูปแบบต่างๆตามมาเพื่อความขลังและความศักดิ์สิทธิ์..ของกรรมวิธีต่างๆ  ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธศสนา...ร่วมด้วยและผู้คนหลงผิดทั้งหลายที่อาศัยศา่สนาทำมาหาเลี้ยงชีพ บ้างสร้างชื่อเสียง บ้างสร้างเพื่อประโยน์ส่วนตัวเพียงน้อยหนิดเพราะยังมีความคิดดีอยู่บ้าง...ผู้คนทั้งหลายจึงสับสนอลม่าน...ถกเถียงกันจนหาข้อยุติไม่ได้..พระราชดำริของพ่อหลวงเราคือความพอเพียงที่พร่ำสอนพสกนิกรใต้ฝ่าธุรีละอองพระบาทของพระองค์..เป็นสิ่งถูกต้อง...ถ้ารู้สึกหยุดได้ก็พอได้...โดยที่ไม่ต้องเข้าใจธรรมมะใดๆด้วยก็ได้...แค่นี้โลกก็เป็นสุข...ชีวิตของเราก็อยู่เป็นสุขได้ตามปรกติของมัน...ศีลเราก็ไม่ต้องปฎิบัติมันก็เป็นเองโดยธรรมชาติ...ความเบียดเบียนทางกายวาใจก็ไม่มีโดยอัตโนมัติ...ความเดือดร้อนต่างๆก็ไม่ตามมา...มุมมองที่เข้าใจในชีวิตตามธรรมชาติอย่างแท้จริง  จะทำให้เราเข้าใจในพระราชดำริได้...ความรู้สึกที่ต้องดิ้นรนด้วยแรงแห่งกระแสโลกก็จะทุเลาเบาบางลง..ความสงบที่เกิดจากการที่รู้จักพอก็บังเกิดขึ้น...เป็นความสุขที่แท้จริงของชีวิตแบบมนุษย์โลกแท้จริง...ถ้าต้องการจะสุขมากกว่านี้ต้องเดินตามทางธรรมล้วนๆ..นั้นคือปลงได้ ละได้ ตัดได้ และเสพความวิเวกจนกว่าจะมีตะบะที่มั่นคง...ครับท่านทั้งหลาย  คนเรานั้นไม่มีอะไรมากหรอกครับ จริงๆนะครับ..ไม่ว่าท่านจะอยู่ในทางๆใด..ที่ๆใด...มุมมองในชีวติที่เข้าใจอย่างถ่องแท้  จะช่วยให้ท่านนั้น...เดินตามทางแห่งชีวิตและกระทำไปตามปรกติ...เหนื่อยท่านก็พัก...หานเหนื่อยท่านก็เดินต่อทำต่อ...มันก็มีเท่านี้แหละครับ...จนกว่าสังขารนี้จะแตกสลายตามธรรมชิาต...ถ้าแรงของความสำคัญมั่นหมายในความรู้สึกยังไม่หมด  และใจยังไม่นิ่งพอ...เราก็ต้องเสวยวิบากกรรมต่อไป...อย่าไปคิดอะไรมากครับ(สำหรับท่านที่ศึกษาในทางๆนี้ทำให้แจ้งต่อปจิสจะมุปบาทให้มาก...สำหรับท่านที่ยังสงสัยในกลไกลของชีวิตก็ทำให้แจ้งกระบวนการปฎิจะสมุบาปต่อไป  ..แล้วเราจะเข้าใจในชีวิตที่แท้จริง..ที่เป็นอิทัปปัจจยตา.และตถตา....สัมมาทิฎฐิ....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 28, 2012, 09:22:31 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: เมษายน 30, 2012, 09:43:31 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
เขียนเรื่องหนักหัวสมองมากก็น่าเบื่อสำหรับสังคมมนุษย์ทุกวันนี้....พูดกับเด็กบ้างวัยรุ่นบ้าง  แม้แต่ผู้มีอายุก็เหอะ  พูดถึงวัดเขาก็เบื่อวัดเบื่อศาสนากันเต็มทน  แถมเขาถกเราอีก  เขามองว่าการปฎิบัติธรรมนั้นต้องเข้าวัด  ถือศีล  นุ่งขาวห่มขาว  มันช่างไม่สอดคล้องกับโลกที่กำลังวิวัฒนาการเลย  ทุกตนก็เบื่อพูดคุยเรื่องธรรมมะกันหมดเลย  ครั้นชาวธรรมพอพูดคุยก็ถกเถียงกันเรื่องแนวทางของการปฎิบัติ  ทางของเธอถูก  ทางของฉันผิด  ทางของเธอไม่เคร่งทางของฉันเคร่งกว่า  ทุกวันนี้ทางของโลกกับทางของธรรมแทบจะไปด้วยกันไม่ได้เลย  ต้องแยกทางกันเดิน  พอพูดถึงเรื่องโลก  ก็ต้องพูดว่า  สาวคนไหนสวย หนังเรื่องไหนดี ดาราคนไหนหน้ารัก รถคันไหนดีกว่ากัน บ้านหลังไหนจะหะหรูหะหรามากกว่ากัน  หรือโทรศัพท์เครื่องไหนจะใช้3Gไวไฟ  มีไวเล็ท  แต่มันก็เป็นเรื่องปรกติของชาวโลกนะครับ  แต่ชาวธรรมซิก็เป็นเอากับเขาด้วย  พอคุยเรื่องธรรมก็แบ่งครูบาอาจารย์กันแล้ว โดยที่ไม่ใคร่ครวญ  พอบอกทางบุญก้อ้างแต่สวรรค์.....โลกเปลี่ยน วันเวลาเปลี่ยน คำแปลก็เปลี่ยน ใจคนเราก็เปลี่ยนไปตามสถานะภาพแวดล้อม...ทางคู่ขนานของธรรมกับโลกที่ไปกันได้  ทำไมไม่ใช้ธรรมมะแบบมุมมอง (การที่เราเข้าใจอย่างแท้จริงในชีวิตตามธรรมชาติ  แม้จะไม่รู้ธรรมมะเลย  มันก็คือธรรมที่แท้จริง )  จะมีชีวิตอยู่อย่างไร  สถานภาพแบบไหน  การงานอย่างไรก็ใช้ได้  ถ้าธรรมมะเป็นอย่างนี้มันคงไม่หน้าเบื่อ  เด็กก็ทำผู้ใหญ่ก็ปฎิบัติ  ไม่ต้องคิดว่าพอพูดถึงเรื่องธรรมมะต้องแบ่งออกเป็นสองทางเดิน  หรือปฎิบัติธรรม  ตามแนวทางอาจารย์สอนแล้วมันขัดต่อหลักการในชีวิตของการทำงาน  มัวแต่กำหนด  สมองก็ไม่แล่นในสายงาน  เจ้านายก็บ่นว่าปึก  เพราะเอาแต่กำหนด  ถ้าไม่กำหนดมันก็ลืมจริงมัยครับ  ถ้าเรามีสติในกายยาววาหนาคืบอยู่  กำหนดอยู่กับสิ่งที่เราสำผัสในปัจุบัน  สมองของท่านก็จะไม่ทำงานในงาน  มันจะทึนทึกอยู่อย่างนั้น  หรืทำมากๆท่านก็จะอยากออกบวชซะเป็นงั้นไป  ไม่สอดคล้องกับโลกใบใหม่ของคนสู้ชีวิตเลย  ทำงานไปด้วย  ปฏิบัติธรรมไปด้วย  แค่ถนอมในมุมมอง  สมองก็แล่นในงาน  เพราะงานมันก็เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งของกฎกติกาในสมมุติฐานทั้งปวง  ใช้สมองคิดๆๆๆๆในงาน  แต่เราก็สามรถหยุดมันได้  โดยที่มีมุมมองที่รู้จริง  มันจะไม่เป็นประโยน์ในชีวิตมากกว่าหรือครับท่าน  แค่ทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งในชีวิตที่แท้จริงเหอะ  ทางออกทั้งหลายท่านก็จะเจอมันแล้ว  ไม่ต้องฆ่ากันแค่ผัวบอกเลิกเมียๆบอกเลิกผัว  ไม่ต้องทำร้ายตัวเองโดยการฆ่าตัวตาย  ไม่ต้องเสียใจเมื่อเงินเดือนไม่ขึ้น ตำแหน่งไม่เจริญก้าวหน้า  ทุกอย่างจะหยุดได้เพียงแค่มุมมองที่เปลี่ยนไป  ในการที่เราเข้าใจในชีวิตที่แท้จริงอยางซาบซึ่่งตามธรรมชาติ...ด้วยวงจรของปฎิจสมุปบาท...ธรรมจะคู่ขนานกับโลก..ทุกอย่างจะไม่หน้าเบื่อ และแล่นไปบนเส้นทางๆแห่งชีวิตได้โดยสวัสดี....เหนื่อยเราก็พัก...หายเหนื่อยเราก็เดินต่อ....สัมมาทิฎฐิ....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 10:05:14 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
ชีวิตคืออะไร  ชีวิตเกิดจากอะไร  ชีวิตจะสิ้นสุดลงได้อย่างไร  เป็นคำถามที่ๆทุกบุคลล้วนต้องสงสัยและขบคิดเพื่อหาข้อยุติจะได้หายสงสัยเสียที  ชีวิตบนความหมายยากยิ่งจะหาคำตอบ  นิวเครี๊ยดที่เล็กๆพัฒนาจนเป็นสิ่งใหญ่ๆ มีอวัยวะ และสัญชาติญาณ  จนตอบไม่ได้ว่าบนโลกกลมๆที่ลอยคว้างกลางอวกาศนภา  มีสิ่งที่มีชีวิตอันที่ประหลาดสุดๆ  เต็มไปด้วยความสงสัย  และความเชื่อต่าง  จนยากที่จะพิสูทธิ์  และปักใจเชื่อ  ไหนจะสวรรค์  ไหนจะนรก  ไหนจะนิพพาน  แม้แต่คำสอนของพุทธองค์ที่มีมาในไตรปิฎก  ก็ได้แต่อ่านและแปลตามทิฎฐิแห่งตน  วงจรแห่งปจฎิสมุปบาท  ไม่มีอดีตที่ห่างไกลโพ้น  และอนาคตที่คาดไม่ถึงจนยาวไกล  เข้าใจในปฎิจสมุปบาทในปัจจุบัน  อดีตเราไม่ต้องถาม  อนาคตก็ไม่ต้องตอบ  ทุกอย่างจะแจ่มแจ้งในคำตอบที่เราเข้าใจอย่างไม่มีสงสัย  และหายเคลือบแคลงระแวงสงสัยในชีวิตทันที  ถ้ายังไม่หายสงสัยและยังไม่มั่นใจพอในสิ่งที่รู้  นั้นคือยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งพอ.....  แล้วท่านจะเข้าใจเอง  ในทุกข์  เหตุเกิดทุกข์  และเหตุดับทุกข์  และหนทางที่กระทำเพื่อให้พ้นทุกข์   ความไม่เข้าใจหรือความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมชาติเดิมแท้แห่งชีวิตเป็นอวิชาอย่างแท้จริง  ในวันนี้ขณะคิดก้าวย่าง  เป็นปัจจุบัน  เมื่อย่างก้าวผ่านแล้วเป็นอดีต ขณะที่จะคิดก็เป็นอนาคตแล้ว  แค่แว้บเดียวแห่งครรลองลองของความคิดก็ผูกบ่วงโซ่แห่งวัฎฎะซะแล้ว  ใยต้องถามถึงอดีตอันไกลโพ้นที่ยากที่จะย้อนกลับไปหาเพื่อถามไถ่ เล่า........... "ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อไม่รู้ไม่เห็นจักษุตามความเป็นจริง เมื่อไม่รู้ไม่เห็นรูป จักษุวิญญาณ.จักษุสัมผัสตามความเป็นจริง เมื่อไม่รู้ไม่เห็นความเสวยอารมณ์เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยตามความจริง ย่อมกำหนัดในจักษุ กำหนัดในรูป กำหนัดในจักษุวิญญาณ กำหนัดในจักษุสัมผัส กำหนัดในความเสวยอารมณ์เป็นสุข
ก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตามที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย เมื่อบุคคลนั้นกำหนัดนักแล้วประกอบพร้อมแล้ว ลุ่มหลง เล็งเห็นคุณอยู่ย่อมมีอุปทานขันธ์ ๕ ถึงความพอกพูนต่อไป และเขาจะมีตัณหาที่นำไปสู่ภพใหม่
สหรคตด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความยินดี อันมีความเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ เจริญทั่ว
จะมีความกระวนกระวายแม้ทางกาย
แม้ทางใจเจริญทั่ว เขาย่อมเสวยทุกข์ทางกายบ้าง
ทุกข์ทางใจบ้าง ฯ" .......สัมมาทิฎฐิ......
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2012, 09:37:56 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
กราบขออภัยท่านทั้งหลายที่รบกวนท่านโดยกระทู้ธรรมต่างๆ  กระผมก็เพียงแค่หวังในทางโพธิสัตว์ธรรมก็เท่านั้น  ไม่มีเจตนาอื่นใดดอก  10กระทู้ที่เขียน  กับ 1 คนที่เข้าใจ  ก็เป็นบุญของกระผมแล้ว..........จิตหนึ่งนี้เท่านั้นที่เป็นพุทธ.....ไม่มีแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย  เพียงแต่สัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆเสีย  และเพราะเหตุนั้น  เขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก  การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเองทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ  การทำเช่นนั้นเท่ากับการใช้สื่งที่เป็นพุทธะให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ  และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต  แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขาอยู่ตั้งกัปหนึ่งเต็มๆ  เขาก็จะไม่สามารถลุถึงพุทธภาวะนั้นได้เลย  เขาไม่รู้ว่า  ถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง  และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น  พุทธะก็จะปรากฎตรงหน้าเขา  เพราะว่าจิตนี้คือพุทธะนั้นเอง  และพุทธะก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง  สิ่งสิ่งนี้เมื้อปรากฎกอยู่ที่สามัญสัตว์  จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่  และเมื่อปรากฎอยู่ที่พระพุทธะเจ้าทั้งหลายจะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่  สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้งหกก็ดี  การบำเพ็ญข้อวัตรปฎิบัติคล้ายๆกันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่นำ้ำคงคาก็ดีเหล่านี้นั้น จงคิดดูเถิด เมื่อเราเป็นผู้สมบูรณ์โดยสัจจะพื้นฐานในทุกๆกรณีอยู่แล้ว คือเป็นจิตหนึ่ง หรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรพยามจะเพิ่มเติมอะไรได้แก่สิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้วนั้นด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆซึงไร้ความหมายเหล่านั้นไม่ใช่หรือ  เมื่อไรโอกาศอำนวยให้ทำก็ทำมันไป  และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว  อยู่เฉยๆก็แล้วกัน
     ถ้าเรายังไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า  จิตนั้นคือพุทธก็ดี  และถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่นในรูปธรรมต่างๆก็ดี  แนวความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่  และไม่เข้าร่องเข้ารอยกันกับทางโน้นเสียเลย  จิตหนึ่งเท่านั้นที่เป็นพุทธะ  ดังคำตรัสที่ว่า  ผู้ใดเห็นจิต  ผู้นั้นเห็นเรา  ผู้ใดเห็นปฎิจจสมุปบาท  ผู้นั้นเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นตถาคต...........ที่มา-หนังสือจิตคือพุทธะและมรรคปฎิปทา...เรียบเรียงโดย  พระราชวุฒาจารย์  (หลวงปู่ดูลย์  อตุโล ).....วัดบูรพาราม.................สัมมาทิฎฐิ.........
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2012, 09:25:35 PM »

Permalink: มีคนตั้งมากมายหลายชีวิตที่ดิ้นรนแสวงทางออกและทางที
กระผมก็เป็นคนๆหนึ่งที่มีความเห็นสอดคล้องกับหนังสือธรรมมะของหลวงปู่ดูลย์  อตุโล  หลายเล่มด้วยกัน  รวมกระทั้งหนังสือของหลวงปู่พุทธทาสภิกขุหลายเล่ม  เฉลี่ย90%  ทุกกรณี  แต่บางอย่างก็ขัดกันในความคิดเห็น ที่แปลเป็นคำพูด  ไม่ขอโต้แย้งเพราะเรายังเป็นเด็กมีอายุยังน้อย  แต้ก็ต้องโต้แย้งในใจตามประสาของเด็กๆ  ความแจ่มชัดในคำอธิบายหลักธรรม  พระสุปฎิปัณโนทั้งสองท่านอธิบายได้ช่างแจ่มแจ้งนัก  ไม่ว่าหลักจิตหนึ่งเท่านั้นที่เป็นพุทธะ  และหลักแห่งปฎิจจสมุปบาท  รวมกระทั้งอานาปาณนสติหลักแห่งการปฎิบัติสมาธิว่าด้วยการกำหนดลมหายใจ  ทั้งสองบูรพาจารย์นี้มีหลักปฎิบัติที่ชัดเจน  และให้ผลได้ตามสมควรแก่การปฎิบัติ  กระผมปฎิบัติตามสองบูรพาจารย์นี้มายี่สิบสี่ปีกว่าๆ  ไม่ว่าจะขั้นอุกกฤษ  หรือแบบใช้ชีวิตตามธรรมดา  รู้สึกพอใจในคำสอนและคำแปลต่างๆในบทธรรมมะของท่าน  แต่กระผมก็ไม่ได้อะไรมากดอก  ที่ได้มากสุดก็แค่...เดินตามรอยพ่อ  เป็นอยู่อย่างพอเพียง...เป็นอยู่อย่างที่เราควรจะเป็น...สงบได้ตามกำลังแห่งสติและตะบะ   คำสอนสองบูรพาจารย์ทั้งสองท่านนี้  เป็นคำสอนที่มีประโยชน์  ใครที่สนใจศึกษาแล้วนำไปปฎิบัติ  ก็อาจไปถึงฝั่งฝันได้  ตามสมควรแก่กำลังแห่งตน  ทางออกแห่งชีวิตที่เราดิ้นรนแสวงหาก็คงจะกระจ่างขึ้นตามลำดับ.....สัมมาทิฎฐิ.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 10, 2012, 09:28:09 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ มีนาคม 27, 2024, 10:08:57 AM