เมษายน 19, 2024, 12:03:01 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ว่าด้วยความไม่มีอะไร  (อ่าน 49459 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2012, 08:46:56 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
(ทุกท่านต้องระวังเมื่อเปิดอ่าน และแปลในความหมาย)...ว่าด้วยความไม่มีอะไร...คนที่มีในความหวังทั้งหลายไม่ควรอ่าน และไม่ควรแปลความหมาย...ของคำๆว่าความไ่ม่มีอะไร  ด้วยเหตุแห่งมุมมองของตนเอง  ถ้าจะแปลก็ขอให้คิดมากๆ  และวางใจให้เป็นกลางๆซะก่อน (แล้วจะหาว่าไม่เตือน) ...........ในความหมายของคำไม่มีอะไรทั้งหลาย  สิ่งที่หน้าเศร้าที่สุดก็คือความไ่ม่มีนี้แหละ  ในเมื่อมันไม่มีแล้วเราจะทำให้มันมีได้อย่างไร  มันจึงเป็นความหวังและความใฝ่ฝันของมนุษย์ทุกตน  ในขณะที่มันไม่มีก็พยายามอธิบายความมีต่างๆเพื่อให้มันมีให้จงได้  ด้วยมุมมองของเราต่างๆนา  ด้วยการพยายามสร้างแนวความฝันและจินตนาการ  เพื่อปลอบใจตนเองบ้าง และให้กำลังใจผู้อื่นบ้าง  ข้อหลังนี้ไม่ผิดสำหรับมนุษย์ที่ดำรงค์ชีวิตอย่างมนุษย์โลกทั่วไป  เราต้องมีความหวังพร้อมเดินไปกับจินตนาการ  ไม่อย่างงั้น  เราก็เหมือนต้นไม้ที่ขาดน้ำ  จะค่อยๆเหี่ยวเฉาและตายไปในที่สุด  แต่ความมไ่มีอะไรเลยซักอย่างเดียว  แม้แต่จะกล่าวถึงยังไม่มี...มันไม่อาจที่ละเว้นใครๆเลยในโลกนี้และโลกไหนๆ   แม้แต่พระพุทธเจ้าทั้งปวง  และสัตว์โลกทั้งสิ้นก็ไม่ละเว้น  จะกล่าวไปใยเล่าในความหวังทั้งหลาย   สิ่งที่เห็นอยู่ตำตากลับเพิกเฉยและดูถูกประณาม  สิ่งที่เป็นจินตนาการในมโนนึกบวกการกระทำ  กลับสรรญเสริญเยินยอด้วยความกระหยิ่มใจ  ;)ดู ดู๊ ดู ดูเธอทำ ยิ้มเท่ห์  จงคิดดูเถิดมนุย์ทั้งหลาย  ถ้าเรารู้ว่าข้างหน้าเรานั้นที่เต็มไปด้วยความหวังทั้งหลายมันไม่มีอะไร  ในสิ่งที่เราหวังเลย  แม้แต่การดับทุกข์  ท่านจะกล้าคิดเพื่อหวังอยู่หรือเปล่า  หากทำใจยอมรับมันไม่ได้โลกนี้คงโกลาหลแน่นอนเพราะความหมายของคำว่าไม่มีอะไร  จะใคร่ครวญด้วยวิธีไหนก็เชิญเถิดพ่อคุณเอ๋ย  สิ่งที่จะได้นั้นคือ ก็สักแต่ว่า  สิ่งที่ได้แน่นอนคือความเฉยเมยหรือเย็นชา  มีสติก็เพื่อรู้  รู้ก็เพื่อจักประคอง  ประคองเพื่อให้เกิดเป็นความเคยชิน  เคยชินในสิ่งที่รู้  รู้อย่างมีสติก็เท่านั้น  แล้วท่านจะหวังอะไรในปลายทาง  ในเมื่อรู้  ก็แค่รู้ว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ.........  สิ่งทีมีรสขม  ย่อมถูกใช้เป็นยาดี
สิ่งที่ฟังแล้วไม่ไพเราะหู นั้นคือคำตักเตือนอันจริงใจของผู้เตือนที่แท้จริง
จากการแก้ไขความผิดให้กลับเป็นถูก  เราย่อมได้รับสติปัญญา
โดยการต่อสู้เพื่อรักษาความผิดของตัวเองเอาไว้  เราย่อมแสดงนิมิตหมายแห่งความมีจิตผิดปรกติออกมา
ผู้ปฎิบัติเพื่อกุศลอันสูงสุด  จะไม่หมิ่นผู้อื่น  ในทุกๆโอกาศที่เขาปฎิบัติอยู่   ไม่ทำลายทางแห่งตนที่กำลังเดินอยู่ ....
 เหมือนสวมใส่รองเท้าฟาง
 แล้วแสวงหาเขากระต่าย  .....สัมามทิฎฐิ.....




บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2012, 09:37:36 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ความไม่มีอะไรนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำใจยอมรับมันได้ยาก  และยากที่จะเข้าใจต่อมันได้  แต่เราก็ไม่โทษใครๆหรอก  เพราะกระบวนการตั้งแต่เราแรกเกิดมา  ผู้เป็นมารดา บิดา ก็สอนเราให้เราพูด  โดยกระบวนการแห่งชีวิตเองก็มีธรรมชาติของการจำและความจดจำที่เป็นอัตโนมัติตามธรรมชาติ   และกระบวนการในการคิดริเริ่ม  จึงเป็นธรรมดา  กว่าเราจะเติบใหญ่จนมีอายุหลายๆปี  ขบวนการเหล่านี้ฝังลึกจนยากที่จะถอดถอน  และแยกแยะ  ก็เห็นมาตั้งแต่จำความได้และเห็นด้วยลูกตาแท้ๆว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้  จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันคงลำบาก  การศึกษาที่เป็นตัวทำให้รู้  ก็ต้องอาศัยสมมุติฐานของสมมุติบัญญัติทั้งหลายเป็นกระบวนการๆสื่อสาร  เพื่อทำความเข้าใจ  และทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจต่อมัน  หากปราศจากสมมุติฐานราก็ไม่รู้จะอาศัยอะไรที่จะทำความเข้าใจต่อมันได้  ขบวนการแห่งการเรียรู้  ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม  หรือทางใดๆ  ก็อาศัยสมมุติฐานแห่งสื่อภาษาที่มนุษย์กำหนดขึ้นเป็นหลักแห่งกระบวนการสื่อสาร  ความจำและความเข้าใจที่มีมาแต่นมนานกาเล  จึงยากที่เปลี่ยนมุมมองและความเชื่อนั้นได้  แม้แต่ผู้ปฎิบัติธรรม  จนมีตะบะธรรมอันแก่กล้า ก็ต้องอาศัยสมมุติฐานเหล่านี้เป็นเบื่องต้น  จนกว่าจะไปถึงที่สุดแห่งธรรม  ถึงสามารถเปลี่ยนมุมมองของตนเองได้ ..... มันเป็นธรรมดา  โลกที่เต็มไปด้วยการพัฒนาการต่างๆด้วนการเรียนรู้  มันจึงยากเหลือเกินที่ใครๆจะกล้าละทิ้งความเชื่อทั้งหลายได้    ผู้ใดทำมุมมองให้เข้าใจต่อมันได้ในความไม่มีอะไรนั้นตามธรรมชาติแท้จริง  ผมไม่ต้องอธิบายว่าความรู้สึกของท่านจะเกิดอะไรขึ้น  ปัจจัตตัง  เวทิตัพโพ  วิญญูหิ    ผู้ที่รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน  ผมเป็นกำลังให้ท่านด้วยได้ว่า   ท่านจะรู้สึกสงบและตัวเบาขึ้นเยอะ  ท่านจะมีความเชื่อมั้นในตัวท่านเองไม่หวาดกลัว  และหวาดวิตก  แม้รู้ว่ามีผีหรือเจ้าที่หรือเจ้ากรรมนายเวรจะคอยเอาชีวิตท่านและทำให้ชีวิตของท่านนั้นฉิบหาย ไม่พบความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตทุกๆด้าน  ผู้เขียนขอภาวนาด้วยความปรารถนาดีต่อเพื่อนๆร่วมทาง   สื่งที่มีให้เราเขียนเราก็เขียนไป  สิ่งที่มีให้เราพูดเราก็พูดไป   คนอ่านคนฟังก็ตรึกตรองเอาเอง   แต่การกระทำนั้นเราต้องสำรวมตามครรลอง  และตัวใครตัวมัน   ว่าด้วยความไม่มีอะไร   .....สัมมาทิฎฐิ....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2012, 10:15:02 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
 ;)คำว่าไมมีอะไร มันสั่นจริงๆ  ถ้าบอกว่าไม่มีมันก็จบ  ถ้าพูดว่ามี  มันก็เรื่องยาวใช่หรืเปล่าครับพี่น้อง  คิดเล่นๆนะครับวันนี้  อย่าลืมเรื่องผีหลอกละ.....สัมมาทิฎฐิ.....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2012, 08:57:05 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ความหมายของคำว่าไม่มีอะไรมันไม่ใช่คำแสลง  ทุกๆอย่างก็เริ่มต้นที่มีนี้แหละ  แต่บทสุดท้ายก็คือความไม่มีอะไร  ไม่เชื่อถามหลวงปู่มั่นดูซิ  หรือถามท่านเจ้าคุณ  วชิร เมธี ดูก็ได้  ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะจะบอกให้.......สัมมาทิฎฐิ.....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2012, 09:46:21 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ความไม่มีอะไร  สำหรับคนธรรมดาๆคๆนหนึ่งที่เขียนหรือพูด  มันอาจจะไม่มีอะไรจริงๆ)  สำหรับคนทั่งหลายที่ไม่มีศัทธา  ที่ฟังหรืออ่านในข้อความ อาจสงสัย และเห็นแย้งอยู่ในใจ( ยิ่งไปกว่านั้น  สำหรับผู้มีปัญญาอันมากมาย  ที่มากด้วยความรู้ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่.....เขาอาจถกเถียงและพยายามอธิบายความต่างๆว่า  มันมีอย่างนั้นและมันมีอย่างนี้  เพื่อสอน  หรือข่ม  หรือพยายามอะธิบายในมุมมองแห่งความเห็นของเขาที่เขาเห็นต่าง  หรือจะพยายามที่จะแสดงภูมิแห่งตนที่คิดว่าตนนั้นแหละ  มีความรู้  หรือมีความคิดเห็นที่ดีกว่าสำหรับคนธรรมดาๆทั่วไปแล้ว ) ( แต่สำหรับผมแล้ว  คนธรรมดาคนหนึ่งพูดว่าไม่มีอะไร  มันก็ไม่มีอะไรจริงๆตามความใส่ซื่อของของคนธรรมดา)  ไม่น่าจะคิดให้มากไปกว่านั้นอีก.....สัมมาทิฎฐิ......
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 18, 2012, 09:52:10 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2012, 11:13:26 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ในความปรกติธรรมดาๆ  ในชีวิตและสิ่งทั้งหลาย  ที่มันเป็นปรกติอยู่ตามธรรมดาตามธรรมชาติของมัน   ...ถ้ามันไม่สามารถบอกและเตือนตนเองไำด้  สอนในตนแห่งตนได้  มันก็ไม่มีสิ่งใดที่วิเศษไปมากกว่านี้อีกแล้วที่จะเตือนตนเองและสอนตนเองได้    ผู้ที่สอนคนอื่นก็มีความอยาก  ส่วนผูที่ถูกสอนก็มีความอยาก  แล้วมันจะลงเอยในทางที่  เบื่อหน่ายคลายกำหนัดได้อยางไร  ผู้ที่บอกสอนก็อยากสร้างและอยาทำในสิ่งที่ตนเองมีความอยาก  ส่วนผู้ที่ถูกสอนเล่าก็มีความอยากอยู่ในตัวเองเป็นทุนอยู่แล้ว  ไม่ใช่ว่าเชื่อคนสอนทั้งหมด  แต่เชื่อในความอยากความปรารถนาแห่งตนต่างหาก  ที่ทำแล้วจะได้สมปรารถนานั้นๆ  ......พระสุปฎิปัณโนทั้งหลาย  ท่านสอนให้คนทั้งหลายรู้จักปลง  ในความไม่มีอะไร  จะได้เดินไปสู่อุเบกขาธรรมอันเป็นที่สุดแห่งความวุ่นวายทั้งหลายได้  ไม่ใช่สอนให้เรามองเห็นแต่ความมีทั้งหลาย  ไำม่ว่าโลกหรือธรรม   มีหรือไม่มีก็เป็นปรกติของมัน  เข้าใจมัน  แล้วนำมาบอกมาสอนตนอยู่  เตือนตนอยู่ตลอดเวลา  เมื่อตื่นและลืมตา  ทางแห่งความสงบ  ที่เดินตามรอยพ่อเป็นอยู่อย่างพอเพียงจะตามมา.....สัมมาทิฎฐิ.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 21, 2012, 08:51:55 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2012, 09:53:41 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ครับสำหรับตัวของกระผมเอง  ผมก็ยังตะหนักชัดในความไม่มีอะไรไม่เป็นอะไรแห่่งมุมมองอันถูกต้อง  อันที่เป็นที่สุดของสัมมาทิฎฐิตามหลักการของศาสนาพุทธ  อนิจจังเป็นบทเริ่ม  อนัตตาเป็นบทสุดท้าย  ตามด้วยสูญญตา  และตถตา  ท่านผู้รู้ลองคำนวนตามซิครับ  แล้วมันจะลงเอยแบบใหน  คำว่าไม่มี คำว่าธรรมชาติเดิมแท้  คำว่าจิตหนึ่งคือพุทธะ  มันไม่ใช่ธรรมมะนอกรีตดอก  ในมรรค8 ก็มีบอกอย่างแจ่มแจ้ง  มันเป็นความดันทุรังของผู้ที่มีปัญญาอันน้อยต่างหากที่ไม่ยอมเปิดใจ  และเปิดมุมมอง  ยึดมั่นถือมั่นแต่รูปธรรมทั้งหลายอย่างเหนียวแน่่นโดยไม่ยอมที่จะปล่อยเลย  แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังบอกอยู่เนืองๆว่า  ( ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ) แต่ผู้ที่ไม่เคยวางเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว  ก็ยังกล้ากล่าวตู่คำที่พ่อบอก  ....ถ้าอะไรๆๆๆในสิ่งทั้งปวงมันเป็นอนัตตาจริงๆ  แล้วอะไรละที่มันเป็น...อัตตา...ความคิดที่ว่า  การปฎิบัติในศีลหรือ  หรือในการกระทำในทาน  หรือในการปฎิบัติสมาธิ  หรือการทำวิปัสนา  ท่านลองคิดดูเถิด  ถ้าหลักการที่สุดแห่งธรรมที่พระพุทธองค์กล่าว  ( คือ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ) แล้วมันไม่เป็นที่สุดแห่งธรรม.....  ใครกันแน่ที่กล้ากล่าวตู่คำของพ่อ  ลองใคร่ครวญดูให้ดี  ///  ความไ่มีอะไรจริงๆตามความเชื่อและมุมมองที่มนุษย์เราควรมี  มันเป็นสิ่งที่พิสูทธิ์ได  เช่นธรรมที่เรากล่าวขานท่องบ่นอยู่...ว่าสันทิฐิโก...เมื่อใดท่านเข้าใจในความอันเป็นที่สุดแห่งอนัตตา  เมื่อนั้นท่านจะเข้าใจในความไม่มีอะรไจริงๆเอง...ที่สุดของการเริ่นต้นในพระพุทธศาสนาก็เริ่มต้นตรงนี้แหละ   เมื่อท่านมีใจตรงนี้แล้ว (กระทำในองค์ประกอบจนถึงที่สุดของอุเบกขาธรรม )เมื่อนั้นท่านจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในความไม่มีอะไร  มันไม่ใช่ธรรมนอกรีต....ขอนั้งยัน ยืนยัน ว่า ความไม่มีอะไรนี้แหละเป็นที่สุดแห่งธรรม  ...สัมมาทิฎฐิ....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 21, 2012, 09:59:45 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2012, 10:33:04 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
เอา  วันนี้ขอเห็นด้วยกับความเดิมว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ......สัมมาทิฎฐิ....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2012, 10:45:08 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
วันนี้ก็เช่นเดียวกันกับเมื่อวาน....สัมมาทิฎฐิ.....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2012, 08:50:35 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ในความมีและความไม่มี   มีความไม่มีจริงๆซ่อนอยู่   ใครรู้ใครค้นพบ   ผู้นั้นคือหน่อเนื้อสะมณะ  นะจ๋ะจะบอกให้    ...เห็นด้วยกับความเดิม.....สัมมาทิฎฐิ.....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 09:32:41 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
เพราะว่ามันไม่มีอะไร  ก็เลยไม่มีอะไรที่จะเขียน  พอคิดถึงสิ่งนั้นๆหรือสิ่งใดๆ  มันก็ตอบอยู่อย่างเดียวว่าสิ่งเหล่านั้นหรือสิ่งใดๆ  มันไม่ได้มีอยู่จริงหรือเป็นจริงตามความรู้สึกที่สำคัญว่ามีและเป็น (เพราะว่า  ถ้ามันไม่มีอยู่จริงและมันไม่ได้เป็นจริงตามความรู้สึกที่เรามีเราเห็น หรือเราให้ความสำคัญต่อมัน  เราก็เท่ากับหลอกตัวเองให้สำคัญผิดไป  แต่ถ้าไม่รู้มันก็แล้วไป )ที่เขียนนั้นก็พยายามแล้วที่จะอธิบายได้น้อยมากเท่าไหร่  ก็เพราะมันไม่มีอะไรจริงๆ  ก็เลยเขียนได้เท่านี้แหละครับ.....สัมมาทิฎฐิ....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2012, 09:55:49 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ความไม่มีอะไรในธรรมทั้งปวงมันไม่ได้ทำลายอะไรเลยดอกพี่น้อง  นอกจากความยึดมั่นถือมั่นในความมีทั้งหลายที่เป็นอุปาทานแห่งอัตตา  ในการที่ใช้ภาษาเดิมๆในหลักของศาสสนามันก็น่าเบื่อ  แม้แต่เด็กๆก็รู้  พวกขี้เมาทั้งหลายมันก็รู้  แต่เขาไม่ใส่ใจที่จะใคร่ครวญ  มันเลยไม่ซึ่ง พอไม่ลึกซึ่ง  มันก็เลยไม่รู้จริงๆ   ...อีกไม่กี่วันข้างหน้า  ..ก็เป็นวัน...ที่ยิ่งใหญ่ของชาวพุทธแล้วครับพี่น้อง  ท่านอย่าพึ่งถกนะครับ   ก็มันเขียนว่าไม่มีอะไรอยู่หยกๆ
ตอนนี้มันบอกว่ามี  ไม่ต้องแปลกใจดอก  มันเป็นธรรมเนียมของเรา  ถ้าเราไม่มีครูเราก็อ่านหนังสือไม่ออก  ไม่มีพ่อมีแม่  เราก็ไม่มีชีวิต  ไม่มีพระราชา  เราก็ไม่มีแผ่นดินอยูุุุ่  อันนี้เป็นธรรมเนียมของหลักกตัญญู  และบุพการี  ไม่ใช่รู้แต่ความไม่มีอะรไแล้วจะทิ่งทั้งหมดเลยอันนี้ไม่ใช่หลักธรรมของชาวพุทธ  ในวันที่4นี้ก็เชิญชวนท่านที่เปิดอ่านข้อความนี้  ไปวัดกันนะ  ตอนคำ่เราก็ไปเวียนเทียนกันด้วยนะ  กระทำในสิ่งที่ควรทำ ตามกาละเทศะ  ถือว่าเป็นผู้ที่มีปัญญาตามหลักการของชาวพุทธ   เอตัมมัง  คาละมุตตะมัง   ...สัมมาทิฎฐิ....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2012, 08:32:39 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ในสรรพสิ่งทั้งหลายย่อมไม่มีอะไรที่จริงแท้ 
ดังนั้นเราควรเปลื้องตน  ออกเสียจากความคิดเห็น  ถึงความจริงแท้แห่งของวัตถุเหล่านั้น หรือความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย
ใครที่เชื่อ  ในความจริงแท้ของวัตถุ  หรือความคิดปรุงแต่ง   ย่อมพันธนาการตัวด้วยความคิดเห็นที่เป็นเช่นนั้นซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งลวง
ใครที่ตระหนักชัดถึงความจริงแท้ในตัวเขาเอง   ย่อมรู้ว่า  ธรรมที่แท้ต้องค้นหาต่างที่กับปรากฎการณ์ที่ผิด
ถ้าจิตของใครถูกพันธนาการไว้ด้วยปรากฎการณ์ที่เป็นความลวงแล้วจะไปหาความจริงแท้ได้ที่ไหน  ในเมื่อปรากฎการณ์ทั้งหลายไม่ใช่ความจริงแท้
สัตว์ทั้งหลายย่อมเคลื่อนไหว   วัตถุทั้งปวงย่อมหยุดนิ่ง   ..ผู้เดินทาง  ควรกำจัดความคิดทั้งมวลเสีย  ความดีก็เป็นเช่นเดียวกับความชั่ว  ธรรมกับโลกก็มีเนื้อหาเช่นเดียว  จะต่างก็แค่ให้ประโยนช์  และให้โทษ  ก็เท่านั้น    บอกแล้วให้ระวังเรื่องของความไม่มีอะไร....สัมมาทิฎฐิ....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2012, 08:53:26 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ความไม่มีอะไรที่จริงแท้  กับความเป็นอนัตตาทั้งปวง  ต่างกันตรงไหนหรือ  ก็แค่  สมมุติบัญญัติของข้อเขียน  ท่านลองคิดดูเถอะ  เบื้องหลังอนัตตายังมีอนัตตาอีกเหรอ.................................
วันนี้มีคนถูกน๊อค  ด้วยพลังแห่งหมัดของอนัตตา  มันน่าตลกไหมครับสำหรับผู้ปฎิบัติธรรม  และผู้ที่รู้ในธรรมทั้งหลายที่หวังในการพ้นทุกข์ในศาสนาพุทธ   โดนหมัดแห่งอนัตตาน๊อคเอ้า  หมัดเดียวร่วง  กรรมการนับสิบลุกไม่ขึ้นคร๊าบๆๆๆ   อัตตา  และอนัตตา  มันต่างกันโดยสิ้นเชิง  นี่แหละคือคำๆว่ารู้  กับไม่รู้  ผู้ปฎิบัติในธรรมจริงๆๆ  ไม่ว่าสาขาใด  หรือรูปแบบครูอาจารย์ไหนๆ  สิ่งที่ได้รับที่แท้จริงในการปฎิบัตินั้น  คือการที่เราทำใจยอมรับได้ในทุกๆสถานการณ์   ด้วยความสงบ  สงบตามกำลังของตะบะ  และบารมีที่เคยชินในการปฎิบัตินั้นๆ   พูดง่ายๆพยายามทำใจให้ปล่อยวางในผัสสารมณ์ทั้งปวง  หรือพยายามทำใจให้วางเฉยในอารมณ์ทั้งหลายที่รับรู้  ไม่มีวิตก  และไม่มีวิจารณ์  ไปตามอารมณ์ที่สำผัส  พยายามจะทำใจให้นิ่งในอารมณ์ที่กำหนด  ตามปัญญาที่รู้   และพื้นฐานของการกำหนดในการภาวนา .. เมื่อใดไม่ส่งจิตออกนอก .. จิตย่อมอยู่ภายในกายและเห็นกายในกายอยู่เสมอ  แล้วเห็นจิตในจิตตลอดเวลา  ตามสติแห่งตะบะ  .....อารมณ์ภายนอกและอารมณ์ภายในย่อมทำให้จิตนั้นหวั่นไหวไม่ได้
ความสงบทั้งหลายก็ตามมา  ด้วยพลังแห่งอุเบกขาธรรม...ตามตะบะและบารมีที่บำเพ็ญ......สัมมาทิฎฐิ.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 31, 2012, 08:58:51 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2012, 10:16:45 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ธรรมที่ว่าและกล่าวขานทั้งหลาย  จะเป็นเพียงสพานให้เราอาสัยเพื่อเดินข้ามแม้น้ำ  หรือจะเป็นแค่เพียงเรือที่ให้เรายึดเกาะเพื่อลอยลำในกลางทะเล
ผู้ที่ใคร่ในทางทั้งหลาย ควรที่จะตรึกให้ดี  ในความไม่มีอะรไร  ท่านจะเสียเวลาในการเดินทางในทางๆนี้และเปล่าประโยชน์  ที่จะเดินวนในที่ๆเดิม
วกไปและวนมา  เพียงแค่ท่านยึดมั่นในเรือลำดั่งกล่าว   ถ้าท่านกล้าที่จะคิดเพียงหนึ่งเดียว   สะพานยึดติดกับแผ่นดินสองฝั่ง   เมื่อยืนอยู่ริมฝั่งนี้ก็มองเห็นสะพาน  เมื่อข้ามไปอีกฟากฝั่งก็มองเห็นสะพานเช่นเดียวกัน   จะต่างก็แค่ความรู้สึกที่มองเห็นสะพานอยู่คนละฝั่งทาง   บอกท่านทั้งหลายแล้วว่า  ความไม่มีอะไรมันหน้ากลัว......สัมมาทิฎฐิ......
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ มีนาคม 06, 2024, 07:14:46 PM