เมษายน 19, 2024, 08:51:53 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อ่านแล้วปวดหัว  (อ่าน 9263 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 09:04:03 PM »

Permalink: อ่านแล้วปวดหัว
บทความธรรมมะในหัวข้อนี้ขอเรียนย้ำว่าเป็นบทความทีน่าติดตาม.....วันนี้กระผมเองมีเวลาว่างก็เปิดดูเวบธรรมมะต่างๆแต่ละค่าย....อ่านแล้วรูสึกปวดหัว และละเหี่ยใจ...ได้แค่นี้หรือชาวพุทธ....ช่างไม่สงสารครูบาอาจารย์ที่ท่านปฎิบัติดีปฎิบัติชอบเอาเสียเลย......พรุ่งนี้จะมาเขียนต่อครับท่านทั้งหลาย.....สัมมาทิฎฐิ.....




บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 09:20:46 PM »

Permalink: อ่านแล้วปวดหัว
ไม่ใช่ว่าเราไม่เคารพในความคิดเห็นของคนอื่นๆ  หรือไม่ฟังและไม่คิดตามในข้อความของเขา  แต่อ่านแล้วคิดแล้วมันปวดหัวจริงๆครับท่าน  .ด้วยความเคารพในความที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  และยังนับถือศาสนาเดียวกัน  จึงขออณุญาติวิจารณ์ในหมู่มนุษย์สมองฝ่อทั้งหลาย  และบัญฑิตหมาหางด้วนทั้งหลาย  เพราะเราคิดจนมากมายเกินไป  แต่ขาดการกระทำที่ทำลงไปจริงๆ  ด้วยหัวใจ  มันจึงแตกแขนงในมุมมองของความคิดช่างมากมายเหลือเกิน  กระผมขอถามหน่อย  เคยนั้งสมาธิกันหรือเปล่า  แล้วเคยคิดกันบ้างไหม  ในขณะนั้งมันเกิดอะไรขึ้น  ทุกค่ายทุกสำนักไม่ว่าจะเป็น  พุทธโท  สัมมาอะรัง ยุบหนอพองหนอ  อนาปาณสติ  หรืออะไรก็ตาม  ในขณะที่กำหนด  ใจของท่านอยู่ที่ไหน ความรู้สึกของท่านอยู่ที่ไหน  แล้วความรู้สึกในขณะนั้นที่กำหนดมีอะไรแทรก  ท่านเห็นความว่างหรือความไม่มีอะไรหรือเปล่าในขณะนั้น  ท่านอย่าคิดและวิจารณ์นะ  เพราะท่านแค่จะคิดท่านก็ผิดแล้ว  ..กระผมจึงถามท่านทั้งหลายว่า  แล้วในสิ่งที่เราคิดเราแสดงมันคืออะไร  ถูกต้องแล้วหรือ  ควรหาเวลาว่างนั้งนิ้งๆบ้าง  เผื่อมันจะเกิดประโยชน์กับมุมมองบ้างในตัวเรา  อุปทานที่เกิดจากความไม่รู้จะได้ผ่อนคลายลงบ้าง  และยังจะเป็นประโยชน์ในการแสดงธรรม  และแสดงความคิดเห็น  ในบริบทของธรรมมะ  ไม่เพี้ยนให้มันมากเกินไป   กราบขออะภัยนะครับวันนี้มาแรง.....ไม่ต้องอะไรมากดอกในการรู้ธรรมมะ  ถ้ารู้แล้วมันเริ่มปลงตกได้  ในความโลภโมโทสันต์ต่างๆ  นั้นแหละคือธรรมมะ....ถ้ารู้แล้วไม่ตำหนิคนอื่นๆไม่โต้แย้งจนเกินเลย  นี้ก็ธรรมมะ  เชื่อเถอะครับความรู้ที่เรามาดมั้นนั้น  มันมิได้มีจริงและเป็นจริงดั้งเราคิดและรู้เลยแม้แต่ข้อความเดียว  มันเป็นแค่เพียงหลักเมตตาธรรมที่พระพุทธองค์ทรงอนุเคราะแก่ผู้ที่ไม่รู้ก็เท่านั้น ......เมื่อรู้ถึงที่สุดมันก็ไม่มีอะไรที่ต้องพูด  และถ้าทำได้ตามที่รู้จนเปลี่ยนสันดานตัวเองได้แล้ว  มันก็ไม่มีอะไรที่ต้องทำ.....รู้ก็เป็นอีกอย่าง  กระทำได้จนถึงที่สุดในความรู้ ก็เป็นอีกอย่าง.....แต่มนุษย์นั้นเป็นบัวสี่เหล่า  แต่ละเหล่านั้น จะคิดและวิจารณ์  และแสดงออกก็ไม่เหมือนกัน   อันนี้ก็ต้องทำใจครับ  ....ปฎิจจสมุปบาท  เป็นหลักวิชาการที่สมบูรณ์สูงสุดในพุทธศาสนา  ผู้ใดคิดแล้วคิดอีกๆๆๆ...จนหนึ่งผุด  ผู้นั้นจะไม่โต้แย้งใครเลย และจะไม่สงสัยในตัวเราชีวิตของเราเลย    ..การกระทำจะค่อยๆเป็นไปตามลำดับ  มันอัจศจรรย์จริงๆนะครับแค่คิดในหลักการของปฎิจสมุปบาท  เราก็รู้ทะลุถึงสามโลกเลย  นี้แค่ผลของความคิดนะครับ  มันสิ้นสงสัยในกระบวนการของความคิดทันที  ไม่รู้อะไรเลยก็ดีเหมือนกันนะครับปวดหัว.....แล้วจะมาใหม่.......สัมมาทิฎฐิ......
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ มีนาคม 17, 2024, 08:55:56 PM