เมษายน 19, 2024, 04:10:44 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ว่าด้วยความไม่มีอะไร  (อ่าน 49460 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: มิถุนายน 11, 2012, 09:35:12 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ขอเรียนย้ำในความหวังดี  เช่นเดิม  สะพานเป็นเพียงทางที่ให้เราพึ่งพาอาศัย ข้ามจากฝั่งนี้ไปยังฝั่งโน้นก็เท่านั้น  ความรู้สึกที่มองเห็นสพานนั้น
จะต่างกันก็เพราะยืนอยู่คนละฝั่งฝากของสะพาน......สัมมาทิฎฐิ.....




บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #16 เมื่อ: มิถุนายน 14, 2012, 09:55:43 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ความไม่มีอะไรจริงๆนั้นก็เหมือนกับความว่างที่ว่า  หรือสูญญตาธรรม  ซึ่งแปลว่า  ธรรมที่มีแต่ความว่าง  และว่างอย่างเด็ดขาด  จากความมีความเป็นแห่งตัวตนที่เป็นนั่นเป็นนี่ทั้งหมดทั้งปวง  ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม  ไม่ว่าความดีหรือความชั่ว  หรือความผิดและความถูกต้อง  ที่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ
มันไม่มีอะไรจริงๆ  เป็นศัพท์ที่กระผมใช้มันเพื่อให้คนทั้งหลายสงสัย  แต่ศัพท์ที่ถูกต้องตามหลักการที่เราชาวพุทธใช้นั้น  มันก็คือที่สุดของอนัตตา  ที่เป็นการใคร่ครวญอย่างลึกซึ่งของผู้ปฎิบัติธรรม  จนมันทำลายความสงสัยทั้งปวงลงได้  อันนี้ขอยืนยันในฐานะผู้ปฎิบัติธรรม  หลักการและโวหารเราจะใช้มันอย่างไรก็ได้ในการสื่อภาษา  แต่ความหมายมันจะลงเอยที่ความไม่มีอะไร  ......โลกของการเรียนรู้ในยุคนี้ที่เต็มไปด้วยปัญญาอันมากมายที่เป็นมานะและความเชื่อในมุมมองของตน  ที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง มันช่างมากมายเหลือเกิน  ช่องว่างระหว่างธรรมมะที่แท้จริง  กับปัญญาของผู้คนที่ต็มไปด้วยหลักการในวิชาการของการเรียนรู้  การใช้แขนงของความคิดจึงมีมาก  และซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ    รวมในวิชาการทั้งหลาย  ของการเรียนรู้  และหลักการของกระบวนการความคิดทั้งปวง   การที่เราถกเถียงในความมีทั้งปวงมันจึงหาทางออกไม่ได้  และไม่ได้รับข้อยุติสักที  การแตกแขนงของแนวความคิดจึงเกิดขึ้นมากมายก่ายกองอย่างที่ท่านทั้งหลายเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้  ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ( การหาข้อยุติในความมีนั้นไม่เคยมีมาก่อน ) จะมีก็แต่สงครามที่เอาแพ้เอาชนะเท่านั้นที่เป็นการตัดสิน  ผู้แพ้ยอมจำนนท์  ผู้ชนะเป็นผู้ออกกฎและปกครอง   เพราะมีการเกิด  จึงมีการตาย และแก่ตามมา  ถ้าไม่มีการเกิด  แก่และตายก็ไม่มี   สังเกตุไหมครับท่านผู้อ่าน  มีกับไม่มีมันต่างกันโดยสิ้นเชิง  จะหาข้อยุติทั้งหลายในความมีนั้นมันไม่มีดอก  แต่ในความมีนั้น  ผู้เป็นยอดของคนทั้งหลายท่านบอกเอาใว้ว่า  ให้ใช้ความเมตตาและความการุณาเท่านั้นจึงจะหาข้อยุตติในความเห็นแย้งเห็นต่างในความมีได้  ส่วนความไม่มีนั้นเล่า  ไม่ต้องใช้อะไรเลยในการแก้ปัญหา  แค่บอกแค่คิด  ว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ  มันสิ้นสุดยุตติได้โดยอัตตโนมัติในตัวของมันเอง  โลกกับธรรมมะที่แท้จริงมันจึงต่างกันโดยสิ้นเชิง  ไม่ขัดขืน  ไม่โต้แย้ง  ปลงและปล่อยวางเองตามธรรมชาติ  ที่ความรู้สึกเข้าใจต่อบทความของอนัตตาธรรม  ไม่แข็งไม่ดื้อดึง  มีความรู้สึกเป็นเหมือน ไร้ความรู้สึก แต่มีสติในการรับรู้และยั้งคิด  นั้นแลคือทางๆที่เราควรเดินชาวพุทธ  ส่วนการกระทำที่ยั่งยืนท่านต้องค่อยๆทำไปจนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่  ถูกหรือผิดท่านจะรู้แก่ใจของท่านเอง  เอวังโหตุ............สัมมาทิฎฐิ.......
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #17 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2012, 09:44:35 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ยืนยันในข้อควาที่เขียนครับ...สัมมาทิฎฐิ....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #18 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2012, 09:03:10 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ข้อความนี้  ในความไม่มีอะไรนั้น  เกิดขึ้นเพราะแรงบันดาลใจจากความมีทั้งหลาย  แต่แล้วเราก็ไม่อาจต้านทานกระแสของโลก และโลกาพิวัฒน์ได้  ที่มันเปลี่ยนไปตามกฎของ อนิจะลักษณะ  ตามภาวะของการเปลี่ยนแปลงไปของมวลมนุษย์ชาติที่สมองเต็มไปด้วยหลักการใหม่ๆอยู่เสมอ  ใครเล่าจะยอมเป็นลูกจ้างตลอดไปจนถึงวันตาย   ฟันธง  ไม่มีเลย  นี้และคือความเป็นจริงของความไม่มี....สัมมาทิฎฐิ....
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #19 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2012, 09:18:19 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
เห็นคนทั้งหลายเปิดอ่านในข้อความนี้  ที่ว่าความไม่มีอะไร  ก็เลยมีกำลังใจอยากเขีบนต่อ........แบ่งๆกันอ่าน.......แบ่งปันความเข้าใจ.....ในภพของมนุษย์  
เพื่อว่าใครจะยกระดับมุมมองของตนเองขึ้นบ้างตามธรรมชาติของการเรียนรู้  ที่เป็นธรรมชาติ  ในความไม่มีอะไร
             นอกจากความทรงจำของตัวเราแล้ว.....ยังมีจิตนาการของเราอีก....ถ้าหากว่าสองสิ่งนี้ไม่มีจริง  และไม่เป็นความจริงตามธรรมชาติ   เราต่างหากที่คอยหลอกตัวเราเองให้มีความเชื่อมั่นในความมีทั้งหลาย   ตามความอยากของเราและความเชื่อนั้นด้วย.......ท่านลองหลับตาและดูที่ความจริงที่ท่านเคยเห็นซิ  ความตาย  เหมือนความฝันหรือเปล่า  ดูจากปรากฎการณ์รอบข้างที่เราประสพพบเจอแล้วใคร่ครวญ....ผมไม่ได้ชี้นำว่า  ให้ท่านมองอย่างขาดสูญ หรือสูญเปล่า  ...แต่ผมชี่นำให้ท่านทั้งหลาย   มองให้เห็นถึงความไม่เป็นจริงในสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่  ตามความรู้สึกของเราที่หลงผิด  หรือสำคัญมันผิดไป....แม้ว่าเราจะรู้หรือ ไม่รู้ก็ตาม   ไม่ว่จะเรื่องธรรมมะ  หรือเรื่องโลกๆ   ความสำคัญมั่หมายในมุมมองและความเชื่อในตัวเรา....นั่นคืออวิชา..เหตุเกิดของสิ่งทั้งปวง....ความตนักชัดในความไม่มีอะไรเลย  และไม่เป็นอะไรเลย  ในตัวตนของเรา ทีมีอยู่ในความทรงจำ  และความเชื่อในจิตนาการทั้งหลาย ที่เรารู้  และรู้สึกกับมันในตัวเรา  อย่างชัดเจน....มันเป็นมุมมองที่ซ่อนเงื่อน....ความรู้เหล่านี้เป็นวิชาที่เหนือโลก...และเป็นเหตุดับของสิ่งทั้งปวง....สัมมาทิฎฐิ....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 02, 2012, 09:21:24 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #20 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2012, 10:01:19 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
หากในโลกนี้  มีมุมมองของมนุษย์ทั้งหลายนั้น  มีแต่ความมีแต่อย่างเดียวละก็   แล้วใครมันจะปลงได้บ้าง  ทำใจใหสงบได้บ้าง  โลกนี้คงเต็มไปด้วยความโกลาหล  ตามความอยากของความมีทั้งหลายแน่นอนเลยเชียว  มันเรื่องจริงนะครับท่านสาธุชนผู้เจริญทั้งหลาย   ความไม่มีนี้และครับมันจะช่วยให้โลกนี้หยุดเร่าร้อนและวุ่นวายได้   ถ้ามนุษย์เข้าใจในมุมมองของความไม่มีอย่างถูกต้อง   ความหมายของคำว่าไม่มีมันก็บอกตรงๆอยู่แล้ว  แต่ใครเล่าจะปรารถนา
             แต่ก็ช่างมันมันเถอะครับ   ถึงเราจะปรารถนาเพียงใด  หลอกตัวเองอยู่เพียงใด  ไม่เว้นแม้แต่เสี้ยววินาที  ในทีสุดของชีวิตนั้น  เราก็ต้องพบกับความไม่มีอะเลยจริงๆอยู่ดีๆครับ  ฉนั้นลดลาวาศอกกันบ้างในความมีทั้งหลาย ...ท่านสาธุชนผูเจริญ......สัมมาทิฎฐิ......
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #21 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2012, 09:01:43 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
 ข้อความเหล่านี้จะช่วยให้ท่านทั้งหลาย  ตอบตัวเองได้  ในความไม่มีอะไร  ถึงมันจะหนักหัวหนอ่ยก็ดูๆกันเอานะครับท่านสาธุชน                                                                                            ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็น  ตถาคต  ผู้ใดเห็นตถาคต  ผู้นั้นเห็นปฎิจจสมุปบาท
..สมัยหนึ่งพระผู้มีภาคเจ้าประทับอยูี่ ณ วิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผูุ้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
   ดูก่อนก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตจักแสดง จักจำแนกปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาทนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อย่างนั้น พระพุธทเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน ? 
   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนาเพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีมรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็ชรามรณะเป็นไฉน  ความแก่  ภาวะของความแก่ฟันหลุด  ผมหลุด  หนังเหี่ยวย่น  ความเสื่อมแห่งอายุ  ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ  นี้เรียกว่าชรา
  ก็มรณะเป็นไฉน  ความเคลื่อน  ภาวะของความเคลื่อน  ความแตกทำลาย  ความหายไป  มฤตยู  ความตาย  การทำกาละ  ความทำลายแห่งขันธ์  ความทอดทิ้งแห่งซากศพไว้  ความขาดดิ้นแห่งตินทรีย์  ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า  มรณะ
  ก็ชาติเป็นไฉน  ความเกิด  ความก่อเกิด  ความยั่งลงเกิด  ความบังเกิด  ความเกิดโดยเฉพาะ  ความปรากฎแห่งขันธื  ความได้แห่งอายาตนะครบ  ในหมู่สัตว์นั้นๆ  แห่งหมูุุ่สัตว์นั้นๆ  นี้เรียกว่าชาติ
 ก็ภพเป็นไฉน  ภพ3 เหล่านี้  คือ  กามภพ  รูปภพ  อรูปภพ  นี้เรียกว่าภพ
 ก็อุปาทานเป็นไฉน  อุปาทาน 4  เหล่านี้  คือ  กามุปาทาน  ทิฎฐุปาทาน  สีลัพพตุปาทาน  อัตตวาทุปาทาน  นี้เรียกว่า  อุปาทาน
     ก็ตัณหาเป็นไฉน  ตัณหา 6 หมวด  เหล่านี้คือ  รูปตัณหา  สัททตัณหา  คันธตัณหา  รสตัณหา  โผฐัพพตัณหา  ธัมมาตัณหา  นี้เรียกว่าตัณหา
  ก็เวทนเป็นไฉน  เวทนา  6 หมวดเหล่านี้  คือ  จักขุสัมผัสสชาเวทนา  โสตสัมผัสสชาเวทนา  ฆานสัมผัสสชาเวทนา  ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา  กายสัมผัสสชาเวทนา  มโนสัมผัสสชาเวทนา  นี้เรียกว่า  เวทนา
  ก็ผัสสะเป็นไฉน  ผัสสะ 6 หมวดเหล่านี้คือ  จักษุสัมผัส  โสตสัมผัส  ฆานสัมผัส  ชิวหาสัมผัส  กายสัมผัส  มโนสัมผัส  นี้เรียกว่า  ผัสสะ
  ก็สฬายตนะเป็นไฉน  อายตนะ 6 คือ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ 
นี้เรียกว่า  สฬายตนะ
  ก็นามรูปเป็นไฉน  เวทนา  สัญญา  เจตนา  ผัสสะ  มนสิการ  นี้เรียกว่านาม  มหาภูตรูป  ที่อาศัยภูตรูป4  นี้เรียกว่ารูป  สองสิ่งเรียกว่านามรูป
  ก็วิญญาณเป็นไฉน  วิญญาณ 6 เหล่านี้คือ  จักษุวิญญาณ  โสตวิญญาณ  ฆานวิญญาณ  ชิวหาวิญญาณ  กายวิญญาณ  มโนวิญญาณ  นี้เรียกว่า  วิญญาณ
  ก็สังขารเป็นไฉน  สังขาร 3 เหล่านี้คือ  กายสังขาร  วจีสังขาร  จิตตสังขาร  นี้เรียกว่าสังขาร
  ก็อวิชาเป็นไฉน  ความไม่รู้ในทุกข์  ความไม่รู้ในเหตุเกิดทุกข์  ความไม่รู้ในความดับทุกข์  ความไม่รู้ในปฎิปทาให้ถึงความดับทุกข์  นี้        เรียกว่า  อวิชา
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เพราะอวิชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร  เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ  เพราะวิญญณานเป็นปัจจัยจึงมีนามมรูป  เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ  เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ  เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา  เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา  เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน  เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ  เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ  เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา  มรณะ  โสกะ  ปริเทวะ  ทุกข์  โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์มวลนี้  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
         red,2,300] ก็เพราะอวิชานั่นแหละดับ  โดยไม่มีส่วนเหลือ  สังขารจึงดับ   เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ   เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ  เพราะนามรูปดับสฬายตนะจึงดับ   เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ   เพราะผัสะดับเวทนาจึงดับ   เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ   เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ   เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ   เพราะภพดับชาติจึงดับ   เพราะชาติดับ  ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสและอุปายาสจึงดับ  ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมมีด้วยประการอย่างนี้............วันนี้เป็นบทความที่หนักหน่วงเอาการ.....ถึงมันไม่ใช่ความสวยงามแบบชาวโลก....ที่ภิขุ...แต่มันก็น่ารักแบบธรรมๆ..
ในความไม่มีอะไรที่จริงแท้....ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านข้อความ  ว่าด้วยความไม่มีอะไรตามแบบฉบับของ..สัมมาทิฎฐิ...บทความนี้มีอยู่ในตัวเรา
ตลอดเวลา  มันไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย  ถ้าหากเราเป็นผู้ช่างสังเกตุในชีวิตของเรา.....เพราะอวิชา คือความไม่รู้จริงดับ  ทุกอย่างก็ดับตามเป็นลูกโซ่
ความประจักในความไม่มีก็แจ่มแจ้ง  โดยไม่ต้องถามใคร......สัมมาทิฎฐิ....
 
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #22 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2012, 08:28:22 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
ความไม่มีเป็นข้อความที่ไม่มีอะไร  ไฉนหนอผู้คนจึงสนใจ  อ่านแล้วแปลถูกหรือเปล่าหนอ
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #23 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 11:37:36 AM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
กลับมาแล้ว
ขอโทษทุกๆท่าน  อายจัง ลืมระผ่านของตนเองที่เป็นสมาชิก  ตอนนี้เข้าได้แล้วครับ
บันทึกการเข้า
ประวิต
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 19


อายุ: 52
กระทู้: 265
สมาชิก ID: 1634


อีเมล์
« ตอบ #24 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2013, 09:39:22 PM »

Permalink: ว่าด้วยความไม่มีอะไร
หากในโลกนี้  มีมุมมองของมนุษย์ทั้งหลายนั้น  มีแต่ความคิดอย่างมี  แต่เพียงอย่างเดียวละก็   แล้วใครมันจะปลงได้บ้าง  ทำใจใหสงบได้บ้าง  โลกนี้คงเต็มไปด้วยความโกลาหล  ตามความอยากของความมีทั้งหลายแน่นอนเลยเชียว  มันเรื่องจริงนะครับท่านสาธุชนผู้เจริญทั้งหลาย   ความไม่มีนี้และครับมันจะช่วยให้โลกนี้หยุดเร่าร้อนและวุ่นวายได้   ถ้ามนุษย์เข้าใจในมุมมองของความไม่มีอย่างถูกต้อง   ความหมายของคำว่าไม่มีมันก็บอกตรงๆอยู่แล้ว ( แต่ใครเล่าจะปรารถนา )
             แต่ก็ช่างมันมันเถอะครับ   ถึงเราจะปรารถนาเพียงใด  เราก็หลอกตัวเราเองอยู่ฉันนั้น  ร่ำไป  ตลอดเวลา  ไม่เว้นแม้แต่เสี้ยววินาที  ในทีสุดของชีวิตนั้น  เราก็ต้องพบกับความไม่มีอะเลยจริงๆ อยู่ดีๆละครับ  ฉนั้น ลดลา วาศอก กันบ้าง ในความมีทั้งหลาย ...ท่านสาธุชนผูเจริญ...แล้วชีวิตของเราจะค้นพบทางออกแห่งชีวิต
ชีวิตมนุษย์  ที่วุ่นวายเหลือเกิน  ก็เพราะหลงในความรู้สึก ที่ว่ามันมีนี้แหละครับ  และอยากในความมี---อยากชนะ--อยากเป็นใหญ่--อยากมีชีวิตที่อยู่เหนือใครๆ--และอยากสนองตอบในความรู้สึกแห่งตน  และในความคิดของตนเอง--ว่าตนนั่นแหละมีความคิดและจินตนาการ--ถูกที่สุด----นี้แหละครับ--อานิสงฆ์ของความคิด  ที่คิดอย่างมีและความรู้สึกที่มีตัวตนของบุคลเหล่านั้น---ถ้าคิดอย่างไม่มีแบบสุดโต่ง--มันก็ยิ่งหน้ากลัวไปกันใหญ่--บาปก็ไม่มีบุญก็ไม่มี--แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้นกันละพี่น้องครับ---นรกอเวจีก็ไม่ปาน.........สัมมาทิฎฐิครับ...................................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 08, 2013, 09:41:35 PM โดย ประวิต » บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ มกราคม 13, 2024, 07:40:37 PM