เมษายน 20, 2024, 05:40:59 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มีคนบอกว่า การสวดพระคาถาชินบัญชรในหอพัก นั้นไม่ดี จริงหรือเปล่าคะ  (อ่าน 29301 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ธารา
เด็กใหม่
*****

พลังความดี : 0


เพศ: หญิง
อายุ: 30
กระทู้: 4
สมาชิก ID: 2691


« เมื่อ: กันยายน 03, 2013, 01:01:47 AM »

Permalink: มีคนบอกว่า การสวดพระคาถาชินบัญชรในหอพัก นั้นไม่ดี จริงหรือเปล่าคะ
ได้ยินมาเยอะค่ะ เกี่ยวกับการสวดพระคาถาชินบัญชรในหอพัก มหาวิทยาลัย ว่าไม่ควร เพราะพระคาถานี้ จะเป็นการเชิญเทพยดามาสถิตที่ตัวเรา จะเป็นการรบกวนดวงวิญญาณในบริเวรนั้น  ส่วนตัวยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะพระคาถานี้เป็นคาถาที่ดีมากคาถาหนึ่ง แล้วเราเองก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่โตด้วย คิดว่าใจเราสวดในสิ่งที่เป็นกุศลแล้วแผ่เมตตาให้เขา ใจเราคิดดี ทำสิ่งดี แล้วจะไม่ควรได้อย่างไร? รบกวนผู้รู้แสดงความคิดเห็นด้วยนะคะ หรือท่านอื่นๆก็ได้ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ ^^




บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 03, 2013, 03:24:50 PM »

Permalink: มีคนบอกว่า การสวดพระคาถาชินบัญชรในหอพ&#
1. สวดเพื่อสิ่งใด
2. สวดแล้วจิตใจเป็นอย่างไร
3. สวดแล้วมีเมตตาจิตจริงๆหรือไม่
4. คุณรู้จักเมตตาดีแค่ไหน เมตตาคืออะไร

- การกระทำทำดี อะไรมันก็ดีหมดครับ เพียงแต่บางคนอาจจะมองว่าหากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายมาสถิตย์อยู่ แล้วเรานอนในหอพักนอนอยู่ใต้ที่นอนคนอื่น ซึ่งเป็นบุคคลอันประกอบด้วยโลภะ ราคะ โทสะ โมหะ มันไม่ควร เพราะพระพุทธเจ้าอยู่สูงสุดใน 3 โลก
- ถ้าคุณรู้คำแปลของพระคาถาชินบัญชรคุณจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายแต่ละพระองค์นั้น มีข้อเด่นอย่างไรสถิตย์อยู่อย่างไรคุณก็ควรเจริญตามเช่นนั้น
     เช่น พระเถระกุมาระกัสสะปะผู้แสวงบุญทรงคุณอันวิเศษ มีวาทะอันวิจิตรไพเราะอยู่ปากเป็นประจำ อันนี้คุณก็ควรเจริญตามซึ่งความมีวาจาอันดีนั้น คือ ไม่พร่ำเพ้อ ไม่เพ้อเจ้อ ไม่พูดปด ไม่ส่อเสียด ไม่เหยียดหยาม หากไม่เป็นเช่นนั้นให้คุณสวดพระคาถาเป็นล้านจบก็ไม่มีอานิสงส์ แม้มีก็เพียงเล็กน้อย
หากทำได้อานิสงส์จะสูงมากเป็นกำแพงแก้วป้องกันคุณทำให้ กาย วาจา ใจ ของคุณงดงาม แถมคุณยังได้เจริญรอยตามพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายอีกด้วย

- หากคุณสวดเพื่อให้เป็นเมตตาแก่ตนนั้น มันไม่ใช่เมตตา มันเป็นโลภ เมตตานั้นมันง่ายแต่ถึงยาก
- กุศลจิตมีสภาพเป็นเช่นไร คุณเข้าใจสภาพปรมัตถ์ของกุศลไหม

1. ตถาคตจะสอนเสมอๆว่า ทำให้จิตใจแจ่มใสเบิกบานไม่เศร้าหมอง ข้อนี้สำคัญมากน่ะครับ หากคุณมีจิตใจแจ่มใสเบิกบานไม่เศร้าหมองโดยไม่อิงกาม ราคะ โมหะ พยาบาท อันนี้เป็นกุศลและเข้าถึงสัมมาสมาธิได้(แต่จะเกิดจริงไหมอันนี้ก็ต้องรู้จิตตนในอาการของจิตที่เป็นสภาพปรมัตถธรรมในปัจจุบันขณะจิตนั้น อันนี้เรียกว่า จิตเห็นจิต รู้ได้เฉพาะตน)
2. เมื่อคุณมีจิตเป็นกุศล อุปกิเลสทั้งหลายเบาบางไม่กำเริบ มีจิตปารถนาดีต่อผู้อื่น อยากให้ผู้อื่นเป็นสุข อยากให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ อยากให้ผู้อื่นหลุดพ้นจากความร้อนรุ่มใจ ร้อนรนใจ ดับจากกาม ราคะ โมหะ พยาบาท มีจิตใจผ่องใสเบิกบาน เป็นผู้ไม่ผูกเวรใครเพราะทำให้จิตใจนั้นร้อนรุ่ม เป็นผู้ไม่เบียดเบียนพยาบาททำร้ายใครเพราะทำให้จิตใจนั้นร้อนรน เป็นผู้พ้นจากกาม ราคะ โมหะ แล้ว เป็นผู้มีกาย วาจา ใจ สุจริตผ่องใส รู้ปารถนาดีต่อผู้อื่นอยากให้ผู้อื่นเป็นสุข รู้เอื้ออนุเคราะห์แป่งบันสุขหรือสิ่งใดอันดีงามแก่ผู้อื่นเพื่อให้เขาได้พ้นทุกข์ มีจิตยินดีเมื่อผู้อื่นเป็นสุขพ้นจากทุกข์ รู้ความมีใจวางไว้กลางๆไม่ยินดียินร้ายทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ เพื่อความสุขกายสบายใจรอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งหลายทั้งสิ้นนี้
3. สภาพจิตของคุณก็ต้องเป็นเช่นดั่งข้อ 1-2 นี้ ไม่ว่าแก่ตนเองหรือผู้อื่นจึงจะเรียกว่า เมตตาจิต ทีนี้คุณก็ลองเจริญดูเมื่อเจริญและทำได้เป็นนิจคุณจะถึงธรรมของตถาคต ไม่ใช่ถึงบทสวดมนต์ จิตใจคุณจะมีแต่ความผ่องใส เบิกบาน อยู่ที่ใดก็เป็นสุขไม่มีทุกข์ เมื่อทำเดช่นนี้ได้จิตคุณจะต่อไปถึงเจโจวิมุตติซึ่งสาวกในพระธรรมวินัยนี้ตถาคตตรัสว่าจะต้องมีกันทุกคน

ดูวิธีแผ่เมตตาที่นี่เพิ่มเติมครับ http://www.thammaonline.com/15097/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2


หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่คุณนะครับ เรื่องการสวดพระคาถากับเมตตาจิต




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2013, 04:31:22 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
ไหลเย็น
รู้ธรรมคือรู้ตน
ผู้ดูแลบอร์ด
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 101


เพศ: ชาย
อายุ: 47
กระทู้: 391
สมาชิก ID: 565


« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 03, 2013, 09:20:23 PM »

Permalink: มีคนบอกว่า การสวดพระคาถาชินบัญชรในหอพัก นั้นไม่ดี จริงหรือเปล่าคะ
เห็นด้วยกับท่าน เกีรติคุณครับ

สวดมนต์บทใดๆเสร็จแล้ว ก็สวดบทแผ่เมตตาด้วย

สาธุ  สาธุ
บันทึกการเข้า

ธารา
เด็กใหม่
*****

พลังความดี : 0


เพศ: หญิง
อายุ: 30
กระทู้: 4
สมาชิก ID: 2691


« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 03, 2013, 11:36:47 PM »

Permalink: มีคนบอกว่า การสวดพระคาถาชินบัญชรในหอพัก นั้นไม่ดี จริงหรือเปล่าคะ
ขอบพระคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ เข้าใจขึ้นมากเลยค่ะ ตรงที่เราไม่ใช่แต่จะสวดมนต์ แต่เราต้องประพฤติตามนั้นด้วย
แบบนี้พระคาถาหลายๆบทที่มีนั้นจึงคล้ายกับเป็นการให้ผู้สวดได้ระลึก ได้ทบทวนเกี่ยวกับสิ่งดีงามที่ควรจะทำใช่ไหมคะ ดังนั้นการที่คนส่วนใหญ่
สวดแต่ภาษาบาลีโดยที่ไม่เข้าใจความหมาย คิดแต่จะสวดเป็นกุศลนั้น ก็ไม่ได้ได้ผลอะไรเลยใช่ไหมคะ ขอบพระคุณมากๆนะคะ
บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 04, 2013, 07:43:28 AM »

Permalink: มีคนบอกว่า การสวดพระคาถาชินบัญชรในหอพ&#
อ้างถึง
ขอบพระคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ เข้าใจขึ้นมากเลยค่ะ ตรงที่เราไม่ใช่แต่จะสวดมนต์ แต่เราต้องประพฤติตามนั้นด้วย
แบบนี้พระคาถาหลายๆบทที่มีนั้นจึงคล้ายกับเป็นการให้ผู้สวดได้ระลึก ได้ทบทวนเกี่ยวกับสิ่งดีงามที่ควรจะทำใช่ไหมคะ ดังนั้นการที่คนส่วนใหญ่
สวดแต่ภาษาบาลีโดยที่ไม่เข้าใจความหมาย คิดแต่จะสวดเป็นกุศลนั้น ก็ไม่ได้ได้ผลอะไรเลยใช่ไหมคะ ขอบพระคุณมากๆนะคะ


- เป็นจริงเช่นนั้นครับ ภาษาบาลี-สันสกฤต เป็นภาษาที่ตายแล้ว คือ เป็นภาษาที่ใช้พูดกันมาแต่เดิมที่พูดกันในสมัยพุทธกาล มีการกล่าววรรคเป็นคาถาบ้าง เช่นบทสวดมนต์ หรือ พระคาถาทั้งหลายนั้นแหละ แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีใช้กันมานานแล้ว จึงกล่าวว่าเป็นภาษาที่ตายแล้ว
- เมื่อบุคคลสวดมนต์หรือคาถา สักแต่กล่าวบ่นไปโดยไม่รู้ความหมาย มันก็แค่การบ่นเท่านั้นไม่มีสิ่งใดๆ ไม่มีอานิสงส์มาก แต่เมื่อเราได้สวดได้รู้ความหมายรู้คำแปล เราจะเข้าใจทั้งหมดว่าในพระสูตร บทสวดมนต์ พระคาถานั้นๆกล่าวไว้ว่าอย่างไร จุดสำคัญคืออะไร กรรมฐานทั้ง๔๐ และ วิปัสนา และ พระอภิธรรมปรมัตถสังคหะ ก็แปลมาจากบทสวดมนต์ภาษาบาลีนี้แหละครับ พอแปลมาจึงรู้ว่าคือข้แอวัตรปฏิบัติเพื่อทางพ้นทุกข์ ไม่แปลออกมาก็เป็นแค่บทสวดมนต์ธรรมดาๆ
- ตถาคตไม่ได้สอนให้สาวกงมงายแต่ให้รู้ตามธรรมอันดีที่ประกอบไปด้วยประโยชน์นั้นๆ
- ดูอย่างธรรมจักรกัปวัตนสูตร เรานั่งสวดๆไปเรารู้ไหมว่ามันคืออะไรรู้แค่คำบอกกล่าวว่าเป็นพระธรรมแรกในพระพุทธศาสนาแต่ไม่รู้ความหมาย จนเมื่อรู้ในคำแปลเราจึงจะเข้าใจดีว่า นั่นคือพระธรรมคำสอนชี้ให้เห็น ทุกข์ เห็นโทษ เห็นเหตุแห่งทุกข์ เห็นความดับไปแห่งทุกข์ เห็นในทางพ้นทุกข์ เห็นข้อวัตรปฏิบัติในทางมัชฌิมาปฏิปทา แม้บทสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นก็มีตำสอนไว้ครับ หากสวดแปลคุณจะเข้าใจมากขึ้น

นี่คือคำแปลส่วนหนึ่งของธรรมจักรกัปวัตนสูตร หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่คุณธารานะครับ เพื่อความเข้าใจในธรรมของตถาคตมากขึ้น


                               ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร 
                                    ปฐมเทศนา

        [๑๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุด 

สองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ   

        การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้าน 

เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ 

        การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบ 

ด้วยประโยชน์ ๑ 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ 

ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ 

เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตา 

ให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน 

นั้น เป็นไฉน? 

        ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ คือปัญญาอันเห็นชอบ ๑ 

ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ 

ตั้งจิตชอบ ๑ 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง 

ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ 

เพื่อนิพพาน. 

        [๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ 

ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก 

ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ 

โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบ 

ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา 

ภวตัณหา วิภวตัณหา. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ตัณหานั่นแลดับ โดยไม่เหลือ 

ด้วยมรรคคือวิราคะ สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ 

นี้แหละ คือ ปัญญาเห็นชอบ ๑ ... ตั้งจิตชอบ ๑. 

พระวินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวรรคภาค ๑ - หน้าที่ 17

        [๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้ว 

แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 

ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 

ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 

ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 

ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสีย. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 

ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล เราได้ละแล้ว 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 

ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 

ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 

ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล เราทำให้แจ้งแล้ว. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 

ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 

ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรให้เจริญ. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 

ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล เราให้เจริญแล้ว.   

                        ญาณทัสสนะ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ 

        [๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเราในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ 

มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดดีแล้ว เพียงใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรายังยืนยันไม่ได้ว่า 

เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใน 

หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น. 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ ๔ นี้ 

มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่า 

เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก 

ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์. 

        อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาติ 

นี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป. 

        ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี 

ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา 

สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา. 

        [๑๗] ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว เหล่าภุมมเทวดาได้ 

บันลือเสียงว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณ 

ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือ 

ใครๆ  ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้. 

        เทวดาชั้นจาตุมหาราช ได้ยินเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป. 

        เทวดาชั้นดาวดึงส์ ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป. 

        เทวดาชั้นยามา ... 

        เทวดาชั้นดุสิต ... 

        เทวดาชั้นนิมมานรดี ... 

        เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดี ... 

        เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดีแล้ว ก็ 

บันลือเสียงต่อไปว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว   

ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม 

หรือใครๆ  ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้. 

        ชั่วขณะการครู่หนึ่งนั้น เสียงกระฉ่อนขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้แล. 

        ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ 

ได้ปรากฏแล้วในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย. 

        ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ 

ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะเหตุนั้น คำว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชื่อ 

ของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้. 

                                ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จบ 

ทำไมพระป่าท่านจึงกล่าวว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญให้มาก ทีนี้คุณก็รู้แล้วนะครับ
แล้วทีนี้คุณเห็นประโยชน์จากที่ผมตอบกระทู้ไว้บ้างไหมครับ ขอให้คุณเจริญรู้ให้มากะนะครับประโยชน์มีแน่นอน

ขอขอบคุณที่มาจาก http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=726.msg3129#msg3129
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2013, 08:08:03 AM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
ธารา
เด็กใหม่
*****

พลังความดี : 0


เพศ: หญิง
อายุ: 30
กระทู้: 4
สมาชิก ID: 2691


« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 05, 2013, 02:53:38 AM »

Permalink: มีคนบอกว่า การสวดพระคาถาชินบัญชรในหอพัก นั้นไม่ดี จริงหรือเปล่าคะ
เป็นประโยชน์มากเลยค่ะ หลายอย่างที่เคยสงสัย พระคาถานี้ได้ตอบไว้แล้ว ด้วยคำเพียงไม่กี่คำ ส่วน "ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญให้มาก" อันนี้เป็นประโยชน์และใช้ได้กับสถานการณ์ที่แทบจะเรียกได้ว่าเกิดขึ้นกับตัวเราทุกวันเลยทีเดียว เคยแต่เรียนว่าทุกข์คืออะไร สมุทัยคืออะไร การที่สมุทัยเป็นสิ่งที่ควรละ เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ สมุทัยเราแค่รู้เพื่อนำทางไปสู่นิโรธและมรรคเท่านั้นก็เพียงพอ ขอบพระคุณคุณเกียรติคุณอีกครั้งนะคะ  
บันทึกการเข้า
อารี
เด็กใหม่
*****

พลังความดี : 0


เพศ: หญิง
อายุ: 30
กระทู้: 3
สมาชิก ID: 3032


« ตอบ #6 เมื่อ: เมษายน 10, 2016, 11:01:41 PM »

Permalink: มีคนบอกว่า การสวดพระคาถาชินบัญชรในหอพัก นั้นไม่ดี จริงหรือเปล่าคะ
เคยได้อ่านว่าสวดพระคาถาชินบัญชรผีจะร้อน วิญญาณชั้นต่ำมักจะเดือดร้อนจากการสวดมนต์
สวดมนต์ที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตน; ที่หอพัก ควรอุทิศบุญให้วิญญาณและเจ้าที่เจ้าทางที่อยู่แถวนั้นด้วยจะดี เพราะเราแผ่เมตตาเราได้บุญเพิ่มอยู่แล้ว เมื่อเค้าได้รับบุญ เค้าจะได้ไม่จองกรรมจองเวรเรา การสวดมนต์เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ ดีงามอยู่แล้ว เป็นการสร้างบุญบารมีชั้นสูง เพราะเป็นการเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาราธนาศีล ระลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ หลวงปู่โตแนะนำเรื่องการสวดมนต์ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ มี 5 อย่าง และ การสวดมนต์ก็เป็นหนึ่งในนั้น (การสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์อย่างมีสมาธิ) มีค่าเท่ากับกรรมฐานเพราะเราสามารถบรรลุธรรมได้

วิธีอุทิศบุญให้วิญญาณ

"ด้วยอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวณานี้จงไปถึงเจ้าที่เจ้าทาง วิญญาณ ที่อยู่ในเขตนี้ ขอให้บุญที่ข้าพเจ้าที่จะอุทิศไปให้นี้จงเปลี่ยนเป็นสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายจงรับได้ด้วยเถิด สาธุ" (( ต้องอธิษฐานเปลี่ยนบุญเพราะวิญญาณชั้นต่ำรับไม่ได้)) ((ต้องใช้อำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แผ่อุทิศบุญอะไรให้เริ่มด้วย อำนาจของพระรัตนตรัย ไม่งั้นบุญไปไม่ถึง แผ่ยากมาก))
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 10, 2016, 11:15:46 PM โดย อารี » บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ เมษายน 18, 2024, 06:24:40 AM