แนวกรรมฐาน ของผู้ศึกษาธรรม ชั้นนวกะ
ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ และ แนวทางวิถีแห่งการปฏิบัติกรรมฐานทั้งหลายทั้งปวงที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายผู้เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าได้สั่งสอนชี้แนะไว้ มี หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร พระอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระราชพรหมญาณ(หลวงพ่อฤๅษีฯ) หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่นิล มหันตปัญโญ(ครูอุปัชฌาย์ท่านแรกที่บวชให้แก่ผม) พระครูสุจินต์ธรรมวิมล(ครูอุปัชฌาย์ท่านที่สองที่บวชให้แก่ผม) และ พระอาจารย์สนธยา ธัมมวังโส(ผมขออนุญาตพระอาจารย์เป็นอุปัชฌาย์ของผมอีกท่านหนี่ง โดยการด้วยขอด้วยการตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึง) ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน และ แนวทางวิถีปฏิบัติกรรมฐานทั้งหลายของครูบาอาจารย์ผู้เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าทุกท่านตามที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้น ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด
บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง แนวกรรมฐาน ของผู้ศึกษาธรรม ชั้นนวกะ ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้กรรมฐาน ชั้นนวกะ บทที่ ๑ ว่าด้วย "ความศรัทธา"
ท่านใดที่จะมาเจริญปฏิบัติในพระพุทธศาสนานี้ ต้องทีศรัทธาก่อน ศรัทธา คือ อะไร
ศรัทธา คือ ความเชื่อ หมายถึงเฉพาะ ศรัทธาที่เชื่อด้วยปัญญา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เชื่อด้วยเหตุผล ถ้าเชื่อโดยปราศจากปัญญา เรียกว่า อธิโมกข์ ( ความน้อมใจเชื่อ หรือ เชื่อตามเขา )
ประเภทของศรัทธา มี ๔ ประเภท คือ
๑. กัมมสัทธา เชื่อกรรม
๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม
๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์โลกมีกรรม เป็นของ ๆ ตน
๔. ตถาคตาโพธิสัทธา เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ดังนั้นแล้วก่อนอื่นใด ให้เรามีจิตตั้งมั่นในศรัทธา เพื่อความมีเจตตั้งมั่นในการเจริญปฏิบัติกรรมฐานดังนี้
- ศรัทธา ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เชื่อในพระพุทธเจ้า
- ศรัทธาพระธรรมคำสอนและแนวทางปฏิบัติที่เป็นเครื่องออกจากทุกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
(เมื่อเราเชื่อด้วยปัญญาและรู้แล้วว่า ไม่ว่าเราจะกระทำสิ่งใดไว้ เป็นบุญ หรือ เป็นบาป เราย่อมเป็นทายาท คือว่าเราจะได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป
และ ด้วยศรัทธาที่มีต่อพระพุทธเจ้า เราก็ต้องศรัทธาในพระธรรมคำสอนและแนวทางปฏิบัติที่เป็นเครื่องออกจากทุกข์ทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า เป็นทางเพื่อออกจากทุกข์ได้จริง)
- เมื่อเรามีความเชื่อเช่นนี้แล้ว จิตเราย่อมมีเจตนาตั้งมั่นแน่วแน่ที่จะปฏิบัติเพื่อให้ถึงความพ้นทุกข์ทั้งสิ้นนี้กรรมฐาน ชั้นนวกะ บทที่ ๒ ว่าด้วย "ทำไมทุกข์ จึงเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้"
ผู้ใดก็ตามแต่ที่จะเจริญกรรมฐานในพระพุทธศาสนานี้ หากไม่กำหนดรู้ทุกข์แล้ว ย่อมปฏิบัติได้ยาก ที่กล่าวเช่นนี้ ด้วยเหตุผลเพราะ
- เมื่อเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ ก็จะไม่รู้จักตัวตนของทุกข์ อาจจะเป็นผู้ที่มีแต่ความสุขอยู่แล้ว แม้จะเคารพในพระรัตนตรัย พระพุทธศาสนา แต่ก็ไม่รู้จุดหมายของการปฏิบัติกรรมฐาน และ ไม่รู้ว่าจะพ้นทุกข์ไปถึงนิพพานที่เป็นบรมสุขเพื่ออะไร เพราะที่เป็นอยู่ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว (นี่เป็นเหตุให้เกิดความลังเลสงสัย เสื่อมศรัทธา ไม่มีความตั้งใจในการปฏิบัติ)
- เมื่อเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ เราก็จะเกิดแต่ตัณหา อุปาทาน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นตัวตนอันน่าใครปารถนาไปหมด เหมือนคนที่มีแต่ความสุขอยู่แล้ว เมื่อไม่กำหนดรู้ทุกข์ก็ย่อมไม่เห็นว่าความทุกข์เป็นเช่นไร ที่ตนมีอยู่ก็เป็นสิ่งสัมผัสได้แตะต้องได้มีตัวตนจริงๆ จะต้องสละแล้วดิ้นรนไปให้ลำบากไปทำไม (นี่เป็นเหตุให้เกิดความความยึดมั่น ถือมั่น เป็น อุปาทานทั้งปวง)
- เมื่อเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ เราก็จะไม่รู้จัก คุณ และโทษ ในสิ่งที่เราเสพย์เสวยอารมณ์ใดๆ หรือ สิ่งใดๆอยู่นั้น
- เมื่อเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ ก็จะไม่รู้จักความเบื่อหน่ายที่เป็น นิพพิทา คือ ความหน่ายที่เกิดขึ้นจากปัญญาพิจารณาเห็นความจริง จึงมีความเบื่อหน่ายในกองทุกข์ ,ความหน่ายจากการไปรู้เห็นความจริงในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ หรือความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์ ที่ไม่รู้วันจบ,ไม่รู้วันสิ้น จึงเป็นความหน่ายที่ประกอบด้วยปัญญา จึงย่อมแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับความเบื่อหน่ายโดยทั่วๆไปหรือในทางโลกหรืออย่างโลกิยะ ที่ย่อมประกอบด้วยตัณหา
- เมื่อเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ เราก็จะไม่รู้จักดน้อมพิจารณาในธรรม ทำให้ไม่เห็นสาเหตุที่ทำให้เรานั้นเกิดความทุกข์ทาง กาย และ ใจ เป็นเหตุให้ ไม่รู้สมุทัย คือ ไม่รู้สิ่งที่ควรละ เป็นเหตุให้ไม่รู้แจ้งถึงความดับทุกข์ และ ทางดับทุกข์ที่ควรเจริญปฏิบัติให้มากกรรมฐาน ชั้นนวกะ บทที่ ๓ ว่าด้วย "ทุกข์ เราควรกำหนดรู้อย่างไร"
การกำหนดรู้ทุกข์ในชั้นนวกะนี้ มีวิธีกำหนดดังนี้
1. มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ หรือ จะหวนระลึกถึงอารมณ์ใดๆ สิ่งใดๆ เรื่องไรๆ ที่เราได้พบเจอมาได้เสพย์อารมณ์สิ่งนั้นๆมา โดยพิจารณาแยกแยะให้เห็นว่า สิ่งที่เรานั้นกำลังเกิดความปารถนายินดีใคร่ได้ต้องการที่จะเสพย์อยู่นี้ เรามีความรู้สึกอย่างไร เป็นสุข หรือ ทุกข์ หากเมื่อเราเสพย์มันเข้าไปแล้วมันจะให้คุณ หรือ ให้โทษ เป็นประโยชน์สุขกับเราและบุคคลรอบข้างแค่ไหนหรือกลับส่งผลเสียให้เราและบุคคลรอบข้าง มันให้คุณหรือโให้ทษมากกว่ากัน
2. มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ ว่าสิ่งที่เรากำลังเสพย์อยู่นี้ เรามีความรู้สึกอย่างไร เป็นสุข หรือ ทุกข์ ให้คุณ หรือ โทษ ในขณะที่เสพย์อยู่นี้ มันทำให้หายป่วยไข้ ทำให้หายหิวข้าว ทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแจ่ใสเบิกบาน แข็งแรง มีแต่กุศลธรรมในกายและใจไหม หรือ เมื่อเสพย์แล้วมันทำให้เกิดความติดใจเพลิดเพลินยินดี ปารถนาใคร่ได้ที่จะเสพย์เพิ่มเติมไหม เมื่อได้เสพย์สมใจปารถนาแล้วเกิดความสูญเสียทั้ง เงิน สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม เจ็บป่วยไข้ สภาพจิตใจไม่ปกติมีความร้อนรุ่มร้อนรนกายและใจ อัดอัดคับแค้นกายและใจ จิตใจเศร้าหมอง สูญเสียครอบครัวคนรัก เสียงาน ละเลยหน้าที่ๆควรทำ ละเลยสิ่งที่ต้องดูแล
3. มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ ว่าหลังจากที่เราได้เสพย์สมอารมณ์ที่ใครปารถนานั้นแล้ว เรามีความรู้สึกอย่างไร เป็นสุข หรือ ทุกข์ ให้คุณ หรือ โทษ ในขณะที่เสพย์อยู่นี้ มันทำให้หายป่วยไข้ ทำให้หายหิวข้าว ทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแจ่ใสเบิกบาน แข็งแรง มีแต่กุศลธรรมในกายและใจไหม หรือ เมื่อเสพย์แล้วมันทำให้เกิดความติดใจเพลิดเพลินยินดี ปารถนาใคร่ได้ที่จะเสพย์เพิ่มเติมไหม เมื่อได้เสพย์สมใจปารถนาแล้วเกิดความสูญเสียทั้ง เงิน สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม เจ็บป่วยไข้ สภาพจิตใจไม่ปกติมีความร้อนรุ่มร้อนรนกายและใจ อัดอัดคับแค้นกายและใจ จิตใจเศร้าหมอง สูญเสียครอบครัวคนรัก เสียงาน ละเลยหน้าที่ๆควรทำ ละเลยสิ่งที่ต้องดูแล
4 หากสิ่งนี้ๆเราได้เคยเสพย์มาก่อนแล้ว ก่อนที่เราเข้าไปร่วมเสพย์อารมณ์ใดๆ สิ่งใดๆ ให้เราเจริญพิจารณาดังนี้
- หวนระลึกพิจารณาถึง สภาพ รูป สี เสียง กลิ่น รส การกระทบสัมผัสทางกาย กระทบสัมผัสทางใจ ที่เราเคยได้เสพย์อารมณ์นั้นๆมาแล้วในกาลก่อน ว่ามันมีสภาพอย่างไร เป็นสุข หรือ ทุกข์ ให้คุณ หรือ โทษ และ หลังจากที่ได้เสพย์มันแล้วมีผลลัพธ์เช่นไร เป็นสุข หรือ ทุกข์ ให้คุณ หรือ โทษ เช่น มันทำประโยชน์สุขให้เราแค่ไหน มากเท่าใด ทำให้หายป่วยไข้ ทำให้หายหิวข้าว ทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแจ่ใสเบิกบาน แข็งแรง มีแต่กุศลธรรมในกายและใจไหม หรือ ผลลัพธ์อันเกิดจากหลังที่ได้เสพย์มันแล้วเกิดความสูญเสียทั้ง เงิน สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม เจ็บป่วยไข้ สภาพจิตใจไม่ปกติมีความร้อนรุ่มร้อนรนกายและใจ อัดอัดคับแค้นกายและใจ จิตใจเศร้าหมอง สูญเสียครอบครัวคนรัก เสียงาน ละเลยหน้าที่ๆควรทำ ละเลยสิ่งที่ต้องดูแล
- มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ หรือ หวนระลึกพิจารณาว่า ก่อนที่เราจะเสพย์ในอารมณ์นั้นๆ สิ่งนั้นๆ สภาพอาการความรู้สึกทางกายและใจของเรานั้นแจ่มใสเบิกบาน มีกาย วาจา ใจ เป็นกุศลมีปกติจิตเป็นสุขยินดี มีสติยั้งคิด รู้แยกแยะดีชั่วไหม
- มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ หรือ หวนระลึกพิจารณาว่า เมื่อเราได้เสพย์ในอารมณ์นั้นๆ สิ่งนั้นๆ แล้ว หรือ หลังจากที่ได้เสพย์ในอารมณ์นั้นๆ สิ่งนั้นๆ สภาพอาการความรู้สึกทางกายและใจของเรานั้นเป็นเหมือนก่อนที่จะได้เสพย์ไหมกรรมฐาน ชั้นนวกะ บทที่ ๔ ว่าด้วย "ทุกข์ เราได้กำหนดรู้แล้วเป็นอย่างไร
เมื่อเราได้กำหนดรู้ทุกข์แล้ว ผลอานิสงส์ที่เราจะได้รับหลังจากที่ได้กำหนดรู้ทุกข์แล้วนั้นมีเบื้องต้นดังนี้
1. เห็นคุณประโยชน์ และ โทษ ในอารมณ์ใดๆ สิ่งใดๆ ที่เราได้กำหนดรู้ทุกข์แล้วนั้น
2. เกิดความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นจากปัญญาพิจารณาเห็นความจริงใน อารมณ์ใดๆ สิ่งใดๆ ที่เราได้กำหนดรู้ทุกข์แล้วนั้น
3. มีการหวนระลึกพิจารณาวิเคราะห์ลงในธรรมถึงเสาเหตุที่ทำให้ก่อเกิดความทุกข์เมื่อรู้กระทบสัมผัสในอารมณ์ใดๆ สิ่งใดๆเหล่านั้น เป็นเหตุให้รู้เห็นเหตุแห่งทุกข์ตามจริง
4. ทำให้รู้ถึงสิ่งที่ควรละเพื่อถึงความดับทุกข์ พร้อมเห็นตามจริงถึงทางดับทุกข์อันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้ว
5. ทำให้เรานั้นเกิดเจตนาอันมีจิตตั้งมั่นแน่วแน่ที่จะปฏิบัติ สัดับฟัง ค้นคว้าศึกษา โดยความไม่ย่อท้อ