เมษายน 20, 2024, 10:24:34 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มาติกา  (อ่าน 31222 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ไหลเย็น
รู้ธรรมคือรู้ตน
ผู้ดูแลบอร์ด
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 101


เพศ: ชาย
อายุ: 47
กระทู้: 391
สมาชิก ID: 565


« ตอบ #15 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2014, 11:49:59 PM »

Permalink: มาติกา
๑๖.มัคคารัมมะณา  ธัมมา  มัคคะเหตุกา  ธัมมา  มัคคาธิปะติโนธัมมา ฯ

มัคคารัมมะณา ธัมมา
ธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี
 
มัคคะเหตุกา ธัมมา
ธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุ ก็มี
 
มัคคาธิปะติโน ธัมมา
ธรรมที่มีมรรคเป็นประธานก็มี

*****

จิตที่สามารถทำมรรคให้เป็นอารมณ์ คือจิตของพระอริยบุคคลทั้ง ๔ ซึ่งขณะทำมรรคนั้นต้องเป็น กุศลจิต ที่ประกอบปัญญาแรงกล้า

มรรคจิตมีหน้าที่ประหารกิเลสให้หมดจรดเป็น สมุทเฉทประหาร ไม่กลับมาอีก

การได้มรรคนั้น ต้องอาศัยวิปัสสนาพิจารณารูปนามโดยความเป็นไตรลักษณ์ จนเกิดเบื่อหน่าย ปล่อยวางในสังขารทั้งหลาย

เห็นทุกข์ เหตุของทุกข์ การดับทุกข์ และวิถีทางดับทุกข์ เข้าสู่ โคตรภูญาณ แล้วน้อมเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ จนได้ มรรคญาณ

แล้ว ผลญาณก็เกิดตามมา  บรรลุเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับของมรรคนั้นๆ

ลำดับต่อมาก็จะเจริญ ปัจจเวกขณญาณ ขึ้นเพื่อพิจารณา กิเลสที่ละได้แล้ว และกิเลสที่ยังเหลืออยู่ และพิจารณานิพพาน (เว้นพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่) เป็นอันจบกระบวนการบรรลุมรรคผลในขั้นหนึ่งๆคืออริยบุคคลลำดับหนึ่งๆ  




บันทึกการเข้า

ไหลเย็น
รู้ธรรมคือรู้ตน
ผู้ดูแลบอร์ด
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 101


เพศ: ชาย
อายุ: 47
กระทู้: 391
สมาชิก ID: 565


« ตอบ #16 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2014, 10:44:34 PM »

Permalink: มาติกา
  ๑๗.อุปปันนา  ธัมมา  อะนุปปันา  ธัมมา  อุปปาทิโน  ธัมมา ฯ

อุปปันนา ธัมมา
ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ก็มี
 
อะนุปปันนา ธัมมา
ธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็มี
 
อุปปาทิโน ธัมมา
ธรรมที่จักเกิดขึ้นโดยแน่นอน ก็มี

***********

จิต เจตสิก รูป ที่ปรากฏขึ้นแล้ว  ย่อมเป็นที่ตั้งได้ทั้งของกิเลสและมรรค เป็นปัจจัยให้ประกอบ กุศลกรรม อกุศลกรรม

ผลของ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม ย่อมสำเร็จเป็น วิบาก ที่จะเกิดผลต่อไปข้างหน้าแน่นอน

กิเลส  กรรม  วิบาก ย่อมเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน หมุนเวียนส่งต่อกันไปเป็นวัฏฏจักรไม่สิ้นสุด

อกุศล และ โลกียกุศล มี ทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นโลกียะ  ยังไม่สามารละกิเลสได้เด็ดขาด

ขึงยังคงเวียนเกิดเวียนตายต่อไปในภพภูมิต่างๆ  จนกว่าจะสามารถตัดกระแส เข้าสู่พระนิพพาน

นั่นคือ โลกุตตรกุศล มี มรรคเกิดขึ้น ทำการประหารกิเลสเด็ดขาด จนหมดจรด เป็นอรหันต์

จึงพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างสิ้นเชิง
บันทึกการเข้า

ไหลเย็น
รู้ธรรมคือรู้ตน
ผู้ดูแลบอร์ด
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 101


เพศ: ชาย
อายุ: 47
กระทู้: 391
สมาชิก ID: 565


« ตอบ #17 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2014, 10:51:21 AM »

Permalink: มาติกา
๑๘.อะตีตา ธัมมา  อะนาคะตา ธัมมา  ปัจจุปปันนา  ธัมมา ฯ

อะตีตา ธัมมา
ธรรมที่เป็นอดีต ก็มี
 
อะนาคะตา ธัมมา
ธรรมที่เป็นอนาคต ก็มี
 
ปัจจุปปันนา ธัมมา
ธรรมที่เป็นปัจจุบันก็มี

************

จิต เจตสิก รูป นิพพาน เมื่อจำแนกออกได้เป็น ขันธ์ ๕  อายตนะ ๑๒  ธาตุ ๑๘ และ สัจจะ ๔

ธรรมเหล่านี้ ยกเว้นพระนิพพานแล้ว ล้วนอยู่ภายใต้กาลทั้ง ๓ มีแต่พระนิพพานเท่านั้นที่พ้นจากกาลทั้ง ๓

ธรรมที่มีการปรุงแต่งจึงต้องเกิดขึ้น จึงต้องตั้งอยู่ และมีความแปรปรวน แม้จะช้านานเพียงไรก็ตาม ก็ต้องดับไปในที่สุด

ส่วนพระนิพพานไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่ง จึงไม่ต้องตั้งอยู่บนความแปรปรวน และไม่มีการต้องดับไปแต่อย่างใด ดังนั้น

พระนิพพานจึงอยู่เหนือพ้นจากกาลทั้ง ๓ คือ ไม่มีการเกิดขึ้น ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป



บันทึกการเข้า

ไหลเย็น
รู้ธรรมคือรู้ตน
ผู้ดูแลบอร์ด
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 101


เพศ: ชาย
อายุ: 47
กระทู้: 391
สมาชิก ID: 565


« ตอบ #18 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2014, 10:51:02 PM »

Permalink: มาติกา
๑๙.อะตีตารัมมะณา  ธัมมา  อะนาคะตา  รัมมะณา  ธัมมา  ปัจจุปปันนารัมมะณา  ธัมมา ฯ

อะตีตา รัมมะณา ธัมมา
ธรรมที่มีอดีตเป็นอารมณ์ก็มี
 
อะนาคะตารัมมะณา ธัมมา
ธรรมที่มีอนาคตเป็นอารมณ์ก็มี
 
ปัจจุปปันนารัมมะณา ธัมมา
ธรรมที่มีปัจจุบันเป็นารมณ์ก็มี

***************

ธรรมที่ต้องอาศัยอดีตเป็นอารมณ์ คือ อรูปฌาน ที่ ๒ และ ๔ คือต้องอาศํย อรูปฌานที่เคยได้มาแล้วเป็นอารมณ์

ธรรมที่เป็นอยู่เฉพาะในปัจจุบันอย่างเดียว คือ วิญญานธาตุ ๕ คือ จักขุวิญญาน ....จนถึง.. กายวิญญาน หรืออธิบายง่ายๆว่า

การเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส สัมผัส เกิดขึ้นเฉพาะในปัจจุบันกาลตรงหน้าเท่านั้น และต้องอาศัยประสาททั้ง ๕ ตือ

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ส่วนการรับรู้ทางใจเป็นได้ทั้ง ๓ กาล คือนึกถึงอดีต  นีกถึงปัจจุบัน นึกถึงอนาคต ก็ได้

ดังนั้นการทำวิปัสสนาตามรู้ปัจจุบันอารมณ์ ก็คือ ตามรู้ที่ ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส

การตามรู้ทางใจ ก็ให้ตามรู้ในความคิดขณะนี้ ดูว่า ใจคิดเป็น กุศลอยู่ก็รู้ ใจคิดเป็น อกุศลอยู่ก็รู้
บันทึกการเข้า

ไหลเย็น
รู้ธรรมคือรู้ตน
ผู้ดูแลบอร์ด
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 101


เพศ: ชาย
อายุ: 47
กระทู้: 391
สมาชิก ID: 565


« ตอบ #19 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2014, 08:39:05 PM »

Permalink: มาติกา
 ๒๐.อัชฌัตตา  ธัมมา  พะหิทธา  ธัมมา  อัชฌัตตะพะหิทธา  ธัมมา ฯ

อัชฌัตตา ธัมมา
ธรรมภายใน ก็มี
 
พะหิทธา ธัมมา
ธรรมภายนอก ก็มี
 
อัชฌัตตะพะหิทธา ธัมมา
ธรรมทั้งภายในและภายนอกก็มี

************

ตัณหามี ๑๐๘ คือ

ตัณหา มี ๓ ได้แก่  ๑.กามตัณหา  ๒.ภวตัณหา ๓.วิภวตัณหา

เมื่อเกิดกับอายตนะภายใน ๖  จึงนับเป็น (๖ คูณ ๓) เท่ากับ ๑๘

เมื่อเกิดกับอายตนะภายนอก ๖  จึงนับเป็น (๖ คูณ ๓) เท่ากับ ๑๘

รวมเป็น ( ๑๘ บวก ๑๘) ได้ ตัณหา ๓๖   เกิดขึ้นได้ใน ๓ กาล คือ  อดีต  อนาคต ปัจจุบัน

รวมเป็น (๓๖ คูณ ๓ ) จึงเป็น ตัณหา ๑๐๘

--------

กิเลสมี ๑๕๐๐ คือ

กิเลส มี ๑๐ ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ  ถีนะ

เกิดได้กับ (จิต ๑ เจตสิก ๕๒  รูป ๑๘ ลักขณรูป ๔ นับเป็น ๑+๕๒+๑๘+๔ ) สภาวะธรรม ๗๕  จึงเป็น ( ๑๐ คูณ ๗๕ ) เป็น ๗๕๐

เกิดขึ้นภายในสันดาน  และเกิดขึ้นภายนอกสันดาน  จึงรวมเป็นกิเลส ๗๕๐ คูณ ๒  เท่ากับ  ๑๕๐๐

******************

นิพพาน เป็นธรรมภายนอก  ลักษณะของนิพพาน 4 ประการ คือ

1. อัจจุตะ สภาวะที่ไม่ตาย คือนิพพานเป็นสภาวะมี่ไม่มีการเกิดและไม่มีการตาย เป็นสภาวะธรรมที่
ไม่ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขแห่งกาลเวลา หรือที่เรียกว่า กาลวิมุตติ

2. อัจจันตะ สภาวะที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีการแปรผันเป็นอื่น คือ ผู้บรรลุนิพพานแล้ว จะกลับเสื่อมจากนิพพานเป็นไม่มี

3. อสังขตะ สภาวะที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย4 คือ กรรม จิต อุตุ และอาหาร นิพพานไม่ใช่จิต เจตสิก หรือรูปที่เกิดขึ้นโดยอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง เป็นสภาวะที่พ้นจากขันธ์ 5 คือ ขันธวิมุตติ

4. อนุตตระ สภาวะที่ประเสริฐสูงสุดไม่มีสิ่งใดยิ่งกว่า เป็นโลกุตรธรรม

---------

นิพพาน ๓ ภาวะลักษณะ

อนิมิตตนิพพาน ได้แก่ ภาวะของนิพพานนั้นไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสัญฐานและสีสรรวรรณะใดๆ

อปณิหิตนิพพาน ได้แก่ ภาวะของนิพพานนั้นไม่มีอารมณ์ อันเป็นที่น่าปรารถนา และไม่มีตัณหาอันเป็นตัวให้เกิดความต้องการในอารมณ์นั้น

สุญญตนิพพาน ได้แก่ ภาวะขอนิพพานนั้นสูญสิ้นจากกิเลสและขันธ์5




บันทึกการเข้า

ไหลเย็น
รู้ธรรมคือรู้ตน
ผู้ดูแลบอร์ด
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 101


เพศ: ชาย
อายุ: 47
กระทู้: 391
สมาชิก ID: 565


« ตอบ #20 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2014, 10:11:24 AM »

Permalink: มาติกา
๒๑.อัชฌัตตารัมมะณา ธัมมา  พะหิทธารัมมะณา  ธัมมา  อัชฌัตตะพะหิทธารัมมะณา  ธัมมา ฯ

อัชฌัตตา รัมมะณา ธัมมา
ธรรมที่มีสภาวะภายในเป็นอารมณ์ ก็มี
 
พะหิทธา รัมมะณา ธัมมา
ธรรมที่มีสภาวะภายนอกเป็นอารมณ์ ก็มี
 
อัชฌัตตะพะหิทธา รัมมะณา ธัมมา
ธรรมที่มีสภาวะทั้งภายในและภายนอกเป็นอารมณ์ก็มี

*****************

กามทั้งหลาย มีตัณหาเป็นที่ตั้ง มีทุกข์เป็นผลตามมา

คุณของกามมีข้อเดียว คือ สุข และ โสมนัส ที่เกิดจากกาม

โทษของกามมีมากมายคือ

ต้องเหน็ดเหนื่อยแสวงหา ตรากตรำ กรำแดด ฝน ทนร้อน หนาว หิวกระหาย ก็เพราะกาม

แม้เหน็ดเหนื่อยแสวงหาแล้วยังไม่ได้ ก็เศร้าโศกคร่ำครวญว่า ความพยายามของตนไม่มีผล

แม้เหน็ดเหนื่อยแสวงหาโภคะมาได้ ก็คอยระวังรักษาไม่ให้สูญหาย ไม่ให้ถูกโจรลัก ไฟไหม้ น้ำพัด และทายาทอัปรีย์ทำลายไป

เป็นที่ตั้งของเหตุที่ทำให้คนทะเลาะแย่งชิง ด่าทอ ต่อว่า ตบตีทำร้ายกันด้วยฝ่ามือ จนกระทั่ง ท่อนไม้ ดาบ หอก ปืน

เป็นเหตุให้พระราชากับพระราชา เสนาบดีกับเสนาบดี พราหมณ์กับพราหมณ์ พ่อค้ากับพ่อค้า ทะเลาะกัน จนกระทั่ง ญาติกับญาติ

สามีกับภรรยา มารดากับบุตร ลูกกับพ่อ ทะเลาะแตกแยก

เป็นเหตุให้คนทั้งหลายทำปาณาติบาท ลักขโมย เป็นชู้ โกหก มีความโลภ ก่อ อกุศลกรรม

เมื่อก่อ อกุศลกรรมไว้แล้ว ถึงเวลาตายย่อมไปสู่ทุคติอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น

บันทึกการเข้า

ไหลเย็น
รู้ธรรมคือรู้ตน
ผู้ดูแลบอร์ด
พุทธบุตร
*****

พลังความดี : 101


เพศ: ชาย
อายุ: 47
กระทู้: 391
สมาชิก ID: 565


« ตอบ #21 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2014, 02:46:55 PM »

Permalink: มาติกา
๒๒.สะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา  อะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา  ธัมมา  อะนิทัสสะนาปปะฏิฆา  ธัมมา ฯ


สะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา
ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้ ก็มี
 
อะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา
ธรรมที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ก็มี,
 
อะนิทัสสะนาป ปะฏิฆา ธัมมา
ธรรมทั้งที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ ก็มี

*****************

รูปารมณ์ คือ รูปที่กระทบประสาทตา ทำให้เกิดการมองเห็นได้

สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฎฐัพพารมณ์ กระทบกับประสาทอื่นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการมองเห็น

ส่วนที่เหลือ เป็นอารมณ์ที่รู้ได้ทางใจอย่างเดียว ไม่ต้องอาศัยประสาททั้ง ๕ แต่อาศัย มโนทวาร

*****

รูปารมณ์ ว่าโดยสภาวะลักษณ์ คือ สิ่งที่ปรากฎทางจักขุประสาท ได้แก่ สีต่างๆ ต่อจากการเห็นเช่นเห็นต้นไม้ จิตก็เกิดการปรุงแต่ง

ว่าที่เห็นนี้คือ ต้นไม้

ซึ่งคำว่า "ต้นไม้" นี้คือการ บัญญัติ หรือ สมมุติกันขึ้นมาใช้เรียกสิ่งนั้นๆ เป็นการปรุงแต่ง

แต่จิตมนุษย์ไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น ยังเอาความยึดมั่นถือมั่นลงไปว่า ต้นไม้นี้เป็นตัวเป็นตน

ซึ่งที่จริง ต้นไม้ที่เห็นเป็นแค่สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง เห็นด้วยจักขุประสาท คือ ตา จับต้องด้วย กายประสาท คือ มือ

ได้ยินเสียงใบไม้ไหวด้วย โสตประสาท คือ หู ได้กลิ่นด้วย ฆานประสาท คือ จมูก ได้ลิ้มรสผลไม้ด้วยขิวหาประสาท คือ ลิ้น

ความเป็นต้นไม้ มาจาก ประสาททั้งห้า และ จิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้นเอง


บันทึกการเข้า

หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ กุมภาพันธ์ 27, 2024, 07:20:15 PM