กิเลส คำนี้เรามักพบในวลีต่างๆมากมาย เช่น
เป็นผู้มีสติ เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลสอยู่
กัมมัฏฐานเป็นหลักปฏิบัติมีไว้เพื่อทำให้จิตสงบจากกิเลส
เมื่อมนุษย์ถูกกิเลสเหล่านี้ครอบงำแล้วจิตก็จะแกว่งไปตามอำนาจกิเลส ไม่สามารถทรงตัวอยู่ในความนิ่งสงบได้
การที่จิตจะเป็นกลาง หยุดนิ่ง ไม่ไหลเวียนไปตามอำนาจของกิเลสเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากยิ่ง
กิเลสแม้เพียงน้อยก็อย่าประมาท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองแล้วด้วยอุปกิเลส ที่จรมา
ขจัดกิเลส อันเป็นต้นเหตุของการเวียนว่ายตายเกิด
นรชนผู้มีปัญญา ตั้งมั่นแล้วในศีล อบรมจิตและปัญญาให้เจริญอยู่ เป็นผู้มีความเพียร มีปัญญารักษาตนรอด ภิกษุนั้นพึงถางรกชัฏนี้ได้ ราคะก็ดี โทสะก็ดี อวิชชาก็ดี บุคคลเหล่าใด กำจัดเสียแล้ว บุคคลเหล่านั้น เป็นผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ไกลจากกิเลส
สังโยชน์ หมายถึง กิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับทุกข์
ใจนี้เป็นใหญ่ แต่หากว่าเราเปิดช่องให้กิเลสครองใจ กิเลสก็กลายเป็นใหญ่แทน ถึงตอนนั้นแล้วใจก็ต้องคล้อยตามกิเลส ธรรมชาติของใจ โดยเฉพาะใจที่ไม่มีการอบรม มักคล้อยตามกิเลส ยิ่งอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้น ยั่วยุ ปลุกเร้า ก็จะทำให้คนเราหลงตามกิเลสไปไม่มีที่สิ้นสุด
*************************
กิเลส คือ สิ่งที่เศร้าหมองเร่าร้อน
จากพระอภิธรรม ได้แบ่ง ประเภทของ กิเลส เป็นหลายลักษณะ คือ
แบ่งตามความละเอียด มี ๓ อย่างคือ
๑.อนุสัยกิเลส คือ กิเลสอย่างละเอียดที่นอนนิ่งอยู่ในสันดานอย่างเงียบๆ ไม่ปรากฎตัว จนกว่าจะมีสิ่งเร้ามากระทบ จึงจะปรากฏ
๒.ปริยุฏฐานกิเลส คือ กิเลสอย่างกลางที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต เมื่อกระทบกับอารมณ์ต่างๆ แต่ยังควบคุมไว้ได้ ไม่แสดงออกมา
๓.วีติกกมกิเลส คือ กิเลสที่มีกำลัง จนควบคุมไม่ได้ ต้องล่วงทุจริตกรรมออกมาทางกาย วาจา จนทุศีลเป็นต้น
********
อกุศล แบ่งเป็นกอง ได้ ๙ กอง คิือ
1. อาสวะ
2. โอฆะ
3. โยคะ
4. คันถะ
5. อุปาทาน
6. นีวรณะ
7. อนุสัย
8. สังโยชน์
9. กิเลส
*****************
ก่อนจะรู้จักกิเลสกองใดๆ ต้องเริ่มด้วยการรู้จัก อนุสัย ก่อน
อนุสัย เป็นกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของสัตว์ทั้งหลาย ตราบใดที่ยังไม่บรรลุความเป็นพระอรหันต์
อนุสัยจึงเป็นธรรมชาติที่ซ่อนเร้นไม่เปิดเผยให้ใครได้เห็น เว้นแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ที่สามารถรู้อนุสัยของสัตว์ทั้งหลายได้
ธรรมดา อนุสัยกิเลสนั้น ไม่แสดงออกให้ปรากฏทางทวารใดทวารหนึ่งเลย ต่อเมื่อมีอารมณ์ต่างๆมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจแล้ว
อนุสัยกิเลสที่สงบอยู่นั้น ก็จะแปรสภาพเป็นปริยุฏฐานกิเลส คือกิเลสอย่างกลางปรากฏขึ้นทางใจ เป็นความยินดี ยินร้ายต่อ
อารมณ์ที่ปรากฏนั้น ถ้าปริยุฏฐานกิเลสนี้ มีกำลังมากขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยแก่ วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสอย่างหยาบ ปรากฏเป็นการ
กระทำทางกาย ทางวาจาขึ้นมา เกิดการล่วงศีล เป็นต้น
***
ธรรมที่ละกิเลสทั้ง ๓ นี้ คือ...
ศีล ประหาร วีติกกมกิเลส (กิเลสอย่างหยาบ)
สมาธิ ประหาร ปริยุฏฐานกิเลส (กิเลสอย่างกลาง)
ปัญญาในมัคคจิต ประหาร อนุสัยกิเลส (กิเลสอย่างละเอียด)
*********************
อนุสัย มีองค์ธรรมที่เป็นปรมัตถ์ ๖ ตัวคือ
โลภะ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ มานะ วิจิกิจฉา
โลภะ คือ ความโลภ ความต้องการ ติดใจ อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากไม่มี อยากไม่เป็น
โทสะ ความขุนเคือง ผลักไส
โมหะ ความหลง ความโง่ ความไม่รู้สภาพตามความเป็นจริง
ทิฏฐิ ความเห็นผิด ยึดมั่นเป็นตัวเป็นตน เป็นของตนย่อมถูก เป็นคนอื่นต้องผิด
มานะ ความเย่อหยิ่ง ความยกตนว่าดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา
วิจิกิจฉา ความลังเล ความไม่เชื่อในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์