ความฝัน เป็นสิทธิส่วนตัว ทุกคนมีสิทธิ์จะฝัน แต่เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่า มันเป็นแค่ฝันๆ
อันที่จริง ความฝันเป็นของ มนุษย์ และ อบายภูมิ ๓ (เว้นพวกที่อยู่ในนรกใช้กรรมจนไม่มีเวลาได้นอน)
ส่วน เทวดา และ พรหม ท่านไม่หลับ คือ เทวดาก็สนุกตลอดเวลา พรหมก็ทรงอยู่ในฌาน
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ความฝัน เป็นสิทธิของ มนุษย์ภูมิเท่านั้น ก็เป็นไปได้ทีเดียว
****************
ว่าโดยมนุษย์แล้ว มี ๗ ประเภท คือ ปุถุชนที่มีปัญญา ปุถุชนที่ไม่มีปัญญา มนุษย์ที่พิการแต่กำเนิด และ อริยบุคคล ๔ รวมเป็น ๗
แต่มีมนุษย์ ๖ ประเภทเท่านั้นที่ฝัน ส่วนพระอรหันต์ไม่ฝัน
*************
พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึง สาเหตุแห่งความฝันไว้ ๔ ประการ คือ
๑. กรรมนิมิต [บุพพนิมิต ] กรรมดีหรือชั่วในอดีต จะมาให้ผล
๒. จิตอาวรณ์ [อนุภูติบุพพะ] จิตไปผูกพันอยู่กับสิ่งใดมากๆ ก็อาจฝันถึงสิ่งนั้นได้
๓. เทพสังหรณ์ [เทวโตปสังหรณ์] เทวดานำข่าวมาบอก อาจเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายก็ได้
๔. ธาตุกำเริบ [ธาตุโขก] ร่างกายไม่ปกติ อาจทำให้ฝันไปได้แปลกๆ
*************
(สุปินสูตร)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๔๓๓ - ๔๓๕
อรรถกถา
พึงทราบวินิจฉัยในสุปินสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้:-
บทว่า มหาสุปินา ความว่า ชื่อว่า มหาสุบิน เพราะบุรุษผู้ใหญ่
พึงฝัน และเพราะความเป็นนิมิตแห่งประโยชน์อันใหญ่. บทว่า ปาตุรเหสุ
แปลว่า ได้ปรากฏแล้ว.
ในบทนั้น ผู้ฝันย่อมฝันด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ
เพราะธาตุกำเริบ ๑
เพราะเคยเป็นมาก่อน ๑
เพราะเทวดาดลใจ ๑
เพราะบุรพนิมิต ๑
ในฝันเหล่านั้น คนธาตุกำเริบ เพราะ(น้ำ)ดีเป็นต้น เป็นเหตุทำให้กำเริบย่อมฝัน เพราะ
ธาตุกำเริบ และเมื่อฝัน ย่อมฝันหลายอย่าง เช่น ฝันว่าตกจากภูเขา ว่าไปทางอากาศ
ว่าถูกเนื้อร้าย ช้างและโจรเป็นต้นไล่ตาม.
เมื่อฝันโดยเคยเป็นมาก่อน ย่อมฝันถึงอารมณ์เป็นมาแล้วในกาลก่อน.
สำหรับผู้ฝันโดยเทวดาดลใจ ทวยเทพย่อมบรรดาลอารมณ์หลายอย่าง
เพราะประสงค์ดีก็มี เพราะประสงค์ร้ายก็มี ผู้นั้นย่อมฝันเห็นอารมณ์เหล่านั้น ด้วยอานุภาพของทวยเทพ
เหล่านั้น.
เมื่อฝันโดยบุรพนิมิต (ลางบอกล่วงหน้า) ย่อมฝัน อันเป็นบุรพนิมิต
ของประโยชน์หรือของความพินาศที่ประสงค์จะเกิดด้วยอำนาจบุญและบาป
ดุจพระชนนีของพระโพธิสัตว์ ได้นิมิตในการได้พระโอรส
ดุจพระเจ้าโกศล ทรงฝันเห็นสุบิน ๑๖
และดุจพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้แล
ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงฝันเห็นมหาสุบิน ๕ ประการนี้.
ในฝันเหล่านั้น ฝันเพราะธาตุกำเริบ และเพราะเคยเป็นมาก่อน ไม่จริง.
ฝันเพราะเทวดาดลใจ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เพราะว่า เทวดาทั้งหลาย
โกรธขึ้นมา ประสงค์จะให้ถึงความพินาศด้วยอุบาย จึงแสร้งทำให้ผิดปกติ.
แต่ฝันเพราะบุรพนิมิต เป็นจริงโดยส่วนเดียวแท้.
แม้เพราะความเกี่ยวข้องของมูลเหตุ ๔ อย่างเหล่านี้ต่างกัน ฝันจึงต่างกันไป
ฝันแม้ทั้ง ๔ นั้นพระเสกขะและปุถุชน ย่อมฝัน เพราะยังละวิปัลลาสไม่ได้
พระอเสกขะไม่ฝัน เพราะละวิปัลลาสได้แล้ว.
ก็สุบินนี้นั้น แม้ว่า โดยเวลาฝันในเวลากลางวัน ย่อมไม่จริง ใน
ปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม ก็เหมือนกัน. แต่ตอนใกล้รุ่ง เมื่อ
อาหารที่กิน ดื่ม และเคี้ยวย่อยดีแล้ว โอชะอยู่ตามที่ในร่างกาย พออรุณขึ้น
ความฝันย่อมจริง เมื่อฝันอันมีอิฏฐารมณ์เป็นนิมิต ย่อมได้อิฏฐารมณ์ เมื่อ
ฝันมีอนิฏฐารมณ์เป็นนิมิต ย่อมได้อนิฏฐารมณ์.
************
ความฝันที่ชื่อว่า มหาสุบิน ๕ เป็นความฝันพิเศษเฉพาะคือ
โลกิยมหาชนไม่ฝัน มหาราชาทั้งหลายไม่ฝัน พระเจ้าจักรพรรดิทั้งหลายไม่ฝัน
อัครสาวกทั้งหลายไม่ฝัน พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ฝัน พระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่ฝัน
พระสัพพัญญูโพธิสัตว์พระองค์เดียวเท่านั้นย่อมฝัน.
******************
คืนก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงพระสุบินนิมิต ๕ ประการ เรียกว่า “ปัญจมหาสุบินนิมิต” มีความว่า
๑. ทรงบรรทมหงายอยู่เหนือพื้นแผ่นดินนี้
ใช้พื้นพสุธาเป็นพระแท่นบรรทม (เตียงนอน)
เอาเทือกเขาหิมาลัยเป็นพระเขนย (หมอนหนุน)
พระหัตถ์ซ้ายพาดไปทางมหาสมุทรด้านตะวันออก
พระหัตถ์ขวาพาดไปทางมหาสมุทรด้านตะวันตก
พระบาททั้งสองพาดยาวไปทางมหาสมุทรด้านใต้
๒. มีต้นหญ้าแพรกเกิดขึ้นที่พระนาภี (สะดือ) สูงใหญ่ทะลุเมฆ
๓. มีหนอนสีขาวจำนวนมากไต่ตามพระบาทจนท่วมพระชานุ (เข่า)
๔. มีฝูงนก ๔ จำพวก มีสีต่างๆ กัน คือ สีเหลือง เขียง แดง ดำ
บินมาจากทิศทั้ง ๔ มาเกาะที่พระบาท น้อมคำนับแล้วกลายเป็นสีขาวหมด
๕. ทรงดำเนินจงกรมบนยอดภูเขาอันเต็มไปด้วยกองอุจจาระ
แต่พระบาททั้งสองไม่ได้แปดเปื้อนด้วยกองคูถเลย
พระสุบินนิมิตทั้ง ๕ ประการนี้ เป็นนิมิตให้รู้ว่า
พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแน่แท้
และคำสอนของพระองค์จะโด่งดังทะลุฟ้า
คนทุกชาติชั้นวรรณะจะหันมานับถือพระพุทธศาสนา
ผู้ใดปฎิบัติธรรม ผู้นั้นจะมีจิตใจขาวสะอาดเหมือนกันหมด
จะมีคนมากมายเคารพนับถือและมอบลาภสักการะให้
แต่ก็มิอาจทำให้พระองค์หลงใหลมัวเมาในลาภสักการะ