เมษายน 19, 2024, 07:10:50 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่อง อานาปาสติ  (อ่าน 7921 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
วิรัติ สีหะนาม
เด็กใหม่
*****

พลังความดี : 0


เพศ: ชาย
อายุ: 55
กระทู้: 12
สมาชิก ID: 1891


อีเมล์
« เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2014, 03:19:23 PM »

Permalink: เรื่อง อานาปาสติ
เรื่องอานาปาสติ พระพุทธเจ้าท่านก่อนตรัสรู้ท่านสำเร็จฌานญาณชั้นสูงมาหมดแล้วสามารถแสดงปาฏิหารย์ได้ทุกอย่างแต่ก็ไม่ใช่หนทางหลุดพ้นเมื่อท่านหลุดพ้นอาสวะกิเลสแล้วเป็นอรหันต์แล้วท่านก็อยู่ในอานาปาสติมันคือสุขของพระอรหันต์อย่างหนึ่งแต่ก็มิได้ยึดถือเป็นเจ้าของการดูลมหายใจเข้าออกเป็นเอกะสมาธิคือคิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่มีนิวรณ์เรียกว่าไม่มีความคิดใดๆเจ้ามาแทรกหนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมงสามชั่วโมงเรียกว่าเป็นเอกะสมาธิประเสร็ฐแท้แต่ก็ยังไม่เป็นอุเบกขาสมาธิคือไม่ยึดติดแม้เอกะสมาธิซึ่งเป็นความสุขอย่างหนึ่งเราเก่งขนาดพระพุทธเจ้าแล้วหรือเป็นอรหันต์แล้วหรือที่จะดูลมสมาธิแบบอรหันต์เขาทำกันสมาธิซักตัวก็ไม่รู้จะเอาผลไม้ก็ต้องปีนแต่โคนต้นไม่ใช่กระโดดไปเก็บมันก็ตกมาตายเท่านั้นเองการดูลมของพระพุทธเจ้าเป็นการดูลมแบบพระอรหันต์ที่สำเร็จกสิณดินน้ำลมไฟสมาธิฌานสมาบัติทุกอย่างตัวของเราสำเร็จแล้วหรือที่จะมาดูลมแล้วไปนิพพานทำให้ตัวเองสำเร็จก่อนแล้วค่อยดูลมเราดูลมแบบของเรากับแบบพระพุทธเจ้าต่างกันตรงที่ท่านสำเร็จทุกอย่างเป็นพระอรหันต์แล้วดูลมแล้วเราเป็นอะไรสำเร็จแล้วหรือพระพุทธเจ้าท่านมีสมาธิเป็นเอกเป็นพระอรหันต์ใช้และอยู่กับอานาปาสติเป็นเอกะสมาธิใช้ปัญญาพิจารณาสังขารวิญญาณอยู่กับลมเป็นเอกะสมาธิไม่มีอะไรเข้ามาแทรกในที่สุดท่านก็ปล่อยเป็นอุเบกขาสมาธิไปมาอย่างนี้เป็นลักษณะความสุขของพระอรหันต์อย่างหนึ่งการดูลมเป็นเอกะสมาธิเรียกว่าการเป็นอยู่นั่งนอนเดินของพระอรหันต์ถามว่าเราเป็นพระอรหันต์แล้วหรือยังหมดกิเลศแล้วหรือยังที่จะทำได้อย่างนี้โดยที่จิตใจยังมีกิเลศตัณหาเต็มหัวใจดูลมไปก็เท่านั้นกิเลศก็ยังเต็มอยู่อย่างนั้นถ้าหมดกิเลศตัณหามีสมาธิเป็นเอกเข็มแข็งแล้วดูลมนี่ประเสริฐนัก




บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2014, 03:49:36 PM »

Permalink: เรื่อง อานาปาสติ
สาธุ อนุโมทนาด้วยกับธรรมนี้ครับ ท่านสอนให้เห็นว่าต้องทำตนเองให้หมดจากกิเลสจึงจะถึงสมาธิได้ อันนี้คือเรื่องจริง เมื่อละนิวรณ์ได้ก็ถึงสมาธิได้ มีอุปจาระสมาธิเป็นบาทให้ถึง อัปปนาสมาธิ

โดยส่วนตัมผมแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสสอนตั้งแต่ สมมติสาวก ไปจนถึงสาวก สมมติสงฆ์ ไปจนถึงสงฆ์สาวก ว่า อานาปานสติ มีคุณมาก ให้เจริญอยู่เนื่องๆ กล่าวกับพระสารีบุตรว่า ดูกรสารีบุตร เราเป็นผู้มีอานาปนสติเป็นอันมาก นั่นคือ รู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง อานาปานนสติที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราทำนั้นเป็นกรรมฐานทั้ง 40 กอง เป็นกายคตาสติ เป็น กายานุปัสสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้เสมอว่า กุลบุตรผู้ฉลาดผู้แสดงหาประโยชน์ ย่อมกระทำตามบทที่พระอริยะเจ้านั้นได้บรรลุบทอันกระทำแล้ว นั่นก็คือปฏิบัติประพฤติตามพระอริยะเจ้านั่นเอง

อานาปานสตินั้น เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระเยาว์ก็ไม่ใช่ว่าบรรลุธรรมใด พระองค์พึงเห็นว่าขณะนี้เวลานี้ ที่ตรงนี้ สะดวกสบาย ไม่เบียดเบียน ควรแก่ความสงบ แล้วก็เจริญอานาปานสติ โดยไม่รู้เสียด้วยซ็ำว่านั่นคือ อานาปานสติ กรรมฐานที่มีคุณมาก

ผมขอท้าวความยาวหน่อยว่าทำไมเราถึงกรรมฐานในอานาปานสติกัน

พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนอุบาสก อุบาสิกา สามเณร พระสงฆ์ ผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมใดๆให้เจริญในอานาปานสติ เพราะเป็นธรรมเอกมีคุณมาก บุคคลผู้ที่ไม่ปฏิบัติย่อมหาข้ออ้างที่จะกระทำ พระพุทธเจ้าให้ตั้งมั่นใน ศีล ทาน ภาวนา(สมถะ+วิปัสสนา) ให้เราเจริญอานาปานสติเพราะมีคุณมากมีอานิสงส์คือทำให้จิตตั้งมั่นได้ ฌาณ ๔ เป็นต้น เพื่อให้มีจิตจดจ่อควรแก่งานที่จะเห็นใน ยถาภูญาณทัสสนะ(ความรู้เห็นตามจริงในรูปนาม) เกิดนิพพิทาญาณ ถึงสัมมาญาณ ถึงวิมุตติ เมื่อถึงสัมมาวิมุตติลมที่มีที่ได้ที่เห็นจึงจะเป็นเช่นนั้น ถ้ากล่าวถึงในอานิสงส์วรรค พระตถาคตจะให้เราเจริญกุศลทางกายและวาจา นั่นก็คือ ศีล นั่นเอง ทำให้เกิดความไม่เร่าร้อน มีจิตปราโมทย์ ปิติ สุข สงบ สมาธิ ยถาภุญาณทัสสนะ นิพพิทาญาณ วิมุตติ นั่นคือมรรค ๔ ที่ว่าด้วย สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ(สัมมัปปธาน ๔) สัมมาสมาธิ

1. ทีนี้..ศีลอันเป็นกุศลจะบริบูรณ์ไม่ได้ถ้าใจเรานั้น ยังเร่าร้อน ร้อนรุ่ม ขัดใจ ขุ่นมัวใจ เพิลดเพลิน(โลภะ) ติดใจเพลิดเพลิน(นันทิ) น่าใครน่าปารถนาในสิ่งที่เพลิดเพลิน(กาม) ฝักใฝ่หมกมุ่นใคร่ยินดีในอารมณ์ที่เพลิดเพลินนั้นๆ(ราคะ)
2. ด้วยเหตุนี้จึงต้องมี พรหมวิหาร ๔ ปกคลุมศีลอีกรอบอย่างขาดกันไม่ได้ ดังนั้น..เราจึงต้องเจริญโดย ตั้งจิตมั่น(เจตนา)ในความเอ็นดูเป็นมิตรที่ดีน้อมไปในการสละต่อคนและสัตว์ทั้งโลก คือ เมตตา / ด้วยเหตุแห่งเมตตานั้นด้วยความเอ็นดูเป็นมิตรที่ดีน้อมไปในการสละต่อผู้อื่นจิตย่อมเป้นไปเพื่อสละความโลภใคร่ได้ปารถนาและสละสิ่งที่ปรนเปรอตนมีจิตสงเคราะห์ให้คนอื่นและสัตว์อื่น คือ กรุณา ทำให้เกิดจิตที่จะเจริญใน ศีล และ ทาน / ด้วยมีจิตแห่งเมตตาและกรุณาเราย่อมมีจิตยินดีเมื่อคนและสัตว์ทั้งหลายคงไว้ซึ่งสิ่งอันมีค่าอันเป็นที่รักของตน และ ยินดีเมื่อเขาได้ทำในสิ่งที่ดีงามแล้วได้รับผลอันดีจากการกระทำนั้น คือ มุทิตา
3. ด้วยมีองค์ 3 แห่งพรหมวิหารนั้นแล้ว ทำให้เกิดการกระทำที่เป็นการสละให้ที่ปราศจากความโลภและสิ่งอันปรนเปรอตนให้แก่ผู้อื่นและสัตว์อื่นด้วยจิตอันปารถนาดีที่เรียกว่าทาน เกิดเป็นทานบริบูรณ์ มีจิตหมายละเว้นการพรากชีวิต สิ่งของอันทีค่า และ บุคคลอันเป็นที่รักของผู้อื่น ละเว้นวาจาอันทำให้ผู้อื่นมืดบอดลุ่มหลงขุ่นมัวหมองกายใจ ละเว้นซึ่งสิ่งที่ทำให้ลุ่มหลงขาดสติสัมปะชัญญะ เป็นต้น เมื่อได้กระทำการอันเป็นกุศลดังนี้เป็นต้นแล้วย่อมแลเห็นว่าคนและสัตว์ทั้งหลายย่อมมีความเป็นไปตามกรรมของตนที่ทำมาไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทำให้ตั้งจิตไว้อยู่ด้วยความไม่ลำเอียงอันเป็นไปในอคติ ๔ คือ ไม่เอนเอียงเพราะรัก เพราะชัง เพราะกลัว เพราะไม่รู้ตามจริง ทำให้ครบองค์พรหมวิหาร ๔
4. ทีนี้การจะดำรงในศีล ทาน พรหมวิหาร ๔ ให้คงอยู่ตลอดไปย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเราจึงต้องเจริญในสัมมัปปธาน ๔ คือ เพียรละอกุศลที่ยังไม่เกิดหรือเกิดขึ้นแล้ว เพียรทำให้กุศลเกิดขึ้นดำรงไว้และรักษาเอาไว้ไม่ให้เสื่อม แล้วเราจะรู้ทันได้อย่างไรว่าอกุศลที่ยังไม่เกิดนั้นกำลังก่อตัวหรือเกิดขึ้นมาแล้ว จะสร้างกุศลให้เกิดขึ้นมาและคงรักษามันไว้ได้อย่างไร เมื่อมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ มีสติสังขารโดยรอบแล้วย่อมเห็นว่า..สิ่งนี้ก็ต้องอาศัยสมาธิอันควรแก่งานมีเกิดขึ้นเนืองๆ การจะทำให้สมาธิเกิดขึ้นได้ เราก็ต้องเจริญปฏิบัติ มีอานาปานสตินี้มีคุณมาก เจริญได้ง่าย สังเกตุดูง่ายเกี่ยวสัมพันธ์กับการดำรงจิตที่จดจ่อควรแก่งาน(ถ้าคุณเคยเข้าฌาณได้จะรู้จักสภาพจริงๆของสภาวะธรรมต่างๆได้ซึ่งจะสัมพันธ์กับสติสัมปะชัญญะและลมหายใจ) แม้ในกรรมฐานอื่นๆอีก 39 กองก็เป็นไปเพื่ออานาปานสตินี้เป็นจุดหมายให้ถึงและเข้าสู่โพชฌงค์ ๗ ได้ ดังนั้นจึงเกิดกรรมฐานทั้ง 40 กองให้เลือกปฏิบัติตามจริตแล้วน้อมเข้าสู่อานาปานสติในภายหลังเพื่อถึงซึ่งโพชฌงค์ ๗ ธรรมอันเป็นเครื่องตรัสรู้ อันกอปรด้วยสัมมาญาณนั้นเอง แล้วทรงบัญญัติสอนว่า กรรมฐานทั้ง 40 กองนี้ คือ สมถกรรมฐาน คำแปลก็คือ ธรรมอันเป็นเครื่องอุบายเจริญแห่งกุศล นั่นเอง มีอานิสงส์ คือ จิตที่จดจ่อควรแก่งานให้เห็นตามจริงในรูปนาม ผลพลอยได้คือฤทธิ์เดช

นี่น่ะแม้ความหมายของ สมถะ ก็บอกแล้วว่าทำให้เกิดกุศล ละอกุศล คือ นิวรณ์ ๕ เป็นต้น ดังนั้นมันจึงต้องมาคู่กันทั้ง ศีล ทาน พรหมวิหาร๔ ภาวนา(สมถะ+วิปัสสนา) แยกขาดกันไม่ได้

- บุคคลผู้ไม่เจริญกรรมฐานนั้นเพราะไม่สามารถเข้าถึงสมาธิได้ ก็มักอ้างว่า เป็นธรรมของพระอริยะเจ้าบ้าง ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า กุลบุตรผู้ฉลาดผู้แสดงหาประโยชน์ ย่อมกระทำตามบทที่พระอริยะเจ้านั้นได้บรรลุบทอันกระทำแล้ว นั่นก็คือปฏิบัติประพฤติตามพระอริยะเจ้านั่นเอง
- บุคคลผู้ไม่เจริญกรรมฐานเพราะมิอาจเข้าสมาธิได้ ก็มักจะเอนเอียงไปศึกษาพระอภิธรรม แล้วไม่ทำสมาธิ แต่ก็มิอาจเห็นตามจริง จะลูบคลำได้เพียงทิฐิที่มีในตนนั้นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าพระอภิธรรมนั้นไม่ดี พระอภิธรรมนั้นคือปัญญา เราจะปฏิเสธหรือดูถูกปัญญาไม่ได้ หากดูถูกปัญญาก็ไม่อาจจะบรรลุธรรมได้
- ดังนั้นครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนผมว่า ผู้ที่ทำสมาธิไม่ได้ ไม่ใช่เขาไม่อยากทำ แต่ทำไม่ได้เพราะฟุ้งซ่านด้วยวิตกเจตสิกบ้างเป็นต้นแต่เขาก็ยังกรรมฐานได้ด้วยมีศีลบริสุทธิ์ แล้วเดินปัญญาคือเรียนรู้อภิธรรมไปนั่นเอง เมื่อมีจิตถึงขั้นอุปจาระสมาธิได้รู้เห็นตามจริงจนเกิดเบื่อหน่ายไม่ยึดจับสิ่งได้ บรรลุเป็นพระอรหันต์ เรียกว่า พระอรหันต์สายสุขวิปัสสโก นั่นเอง คือ ไม่ใช่ว่าท่านไม่มีสมาธินะครับ ท่านก็มีสมาธิแต่อาจจะไม่ถึงอัปนาสมาธิ หรือได้มากสุดแค่ ปฐมฌาณเท่านั้น ซึ่งสายนี้เรียกว่าใช้ ปัญญานำใช้สมาธิตาม ต่อให้ท่านจะบรรลุอย่างนั้นท่านก็บริสุทธิ์บริบูรณ์กว่าปุถุชนอย่างเราๆเป็นไหนๆ
- ส่วนผู้ที่ทำสมาธิจะเจริญ พุทธานุสสติ หรือ อานาปานสติ กสิน ทวัตติงสาปาฐะ ธาตุ๔ หรือ กรรมฐานทั้ง ๔๐ ก็ตามแต่ หากเราสะสมบารมีมายังไม่เต็มกำลังใจ ก็ให้มีศีล ๘ เพราะศีล ๘ เป็นศีล อุโบสถ เป็นศีลกรรมฐาน ถือศีล ๘บริสุทธิ์ได้แม้แค่ 1 วัน บุญมากโข จิตก็ตั้งมั่นง่าย ถึงฌาณ ๔ หรือ ฌาณ ๘ ง่าย ทำสมาธิไปจนเกิดธรรมเอกผุดขึ้นบรรลุธรรม เรียกว่า พระอรหันต์สายเจโตวิมุตติ คือใช้สมาธินำปัญญาตาม
- ดังนั้นคุณจะมีสมาธิได้อย่างไรถ้าคุณไม่ทำ คุณจะเห็นจริงได้อย่างไรถ้าไม่มีสมาธิ พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนไว้แล้ว ที่สำคัญอานาปานสติ ก็คือ อุบายเครื่องกุศล ไปจนถึงวิปัสสนาญาณ แล้วจิตคุณจะทำให้กุศลเกิดขึ้นและปราศจากอกุศลได้นานจนทำสมาธิได้ง่ายอย่างไร ถ้าไม่เจริญในกรรมฐานทั้ง 40 ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า นี่คือ เครื่องอุบายแห่งกุศล

- แต่สุดท้ายจะไปได้แค่ไหนก็แล้วแต่ความลุ่มหลงของแต่ละคน

- เราผู้ยังแค่ปุถุชนอยู่ จะทำได้แค่ไหนอย่าไปหวัง แค่ให้รู้ว่าเรานั้นถึงซึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ พ่อแม่-บุพการี ครูบาอาจารย์ทั้งทางธรรมและทางโลก เป็นสระอันประเสริฐของเราแล้ว เราผู้เป็นพุทธศาสนิกชนแม้จะเป็นเพียงสมมติสาวก(เพราะยังไม่ถึงมรรค๔ ผล๔)
เราก็จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อความถึงซึ่งกุศลและที่สุุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้คือ
๑. มีสติสัมปะชัญญะ
๒. มีสัมมัปปธาน๔ คือ ความเพียร ๔ ให้ดำรงไว้ซึ่งกุศล
๓. มีศีล
๔. มีพรหมวิหาร๔
๕. มีทาน
๖. มีกรรมฐาน คือ ภาวนา  ทั้งสมถะและวิปัสสนา

เพียรเจริญตาม ๖ ข้อนี้อยู่เนืองๆ เวลาที่ระลึกได้ เวลาว่างๆ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ต่อพระรัตนตรัย(เขาเรียกว่า ปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้าตรัสว่าบูชาพระพุทธเจ้าด้วยสิ่งนี้ประเสริฐสุด) เพื่อเป็นบุญบารมีสงเคราะห์มีแก่บิดามารดา บุพการี และตัวเรา เพื่อให้เข้าถึงสิ่งที่ดีงามตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนสั่ง ทีนี้ต่อให้ผมหรือคุณหรือใครๆจะปฏิบัติได้แค่ไหนจะถึงหรือไม่ถึง

สำหรับผมพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร ให้เจริญยังไงผมก็ทำตามนั้นไม่มีข้อสงสัย ไม่มีขัดใจแย้ง เพราะผมเห็นตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่านั่นคือทางพ้นจากทุกข์จริงๆ

ธรรมใดๆของพระพุทธเจ้าเราไม่ควรดูถูกแม้แต่ธรรมอันเล็กน้อยก็ทำให้คนบรรลุอรหันต์ได้แล้วขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 24, 2014, 07:55:32 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ กันยายน 17, 2022, 06:50:53 PM