อุเบกขา คือ ความว่าง ความไม่มี อุปมาเหมือน อากาศธาตุ อันเป็นที่ว่าง ช่องว่าง ไปตลอดทางไม่มีประมาณฉันนั้น
- อุเบกขาที่จะถึงด้วยวิราคะ คือ อุเบกขาที่มีสติสัมปะชัญญะกำกับอยู่ด้วยจิตตั้งมั่นชอบ ผลของอุเบกขานี้ทำให้เกิดปัญญา เกิดญาณรู้เห็นตามจริง ซึ่งทำหน้าที่ตัดสังโยชน์
สุญญตา คือ ความดับ ความหมดสิ้น ความสูญ ความสละคืนสังขารทั้งปวง
- เป็นผลเกิดมาจากวิราคะ สัมมาวิมุตติ
เรามักจะเจอบุคคลอยู่ 2 ประเภท ที่เป็นเพียงปุถุชน แล้วศึกษาธรรมปฏิบัติของพระพุทธเจ้า คือ
1. บุคคลที่ปฏิบัติโดยส่วนเดียว
2. บุคคลที่เรียนอภิธรรมไม่ปฏิบัติ
ซึ่ง
บุคคลที่ 1. มักจะบอกแก่เราว่า ไม่ต้องอ่านมากรู้มาก แม้จะอ่านแนวทางปฏิบัติของครูบาอาจารย์ หรือ จะอ่านพระสูตรการปฏิบัติ ท่านก็ว่าไม่ต้องอ่าน ไม่ต้องสวดมนต์ ไม่ต้องรับศีล รับพร แต่แปลกใจที่ท่านเหล่านั้นก็ปฏิบัติไม่ถึง และ ยังเปิดเทป เปิดยูทูป เปิดหนังสือครูบาอาจารย์ที่นับถืออ่านเช่นกัน
ซึ่ง
บุคคลที่ 2 มักจะบอกว่าไม่ต้องไปลงสมถะมันติดสุข สมถะไม่ใช่ทางหลุดพ้น ไม่ต้องทำสมาธิก็เห็นจริงใจ แต่เขาเหล่านั้นไม่มีใครที่จะได้สมาธิแม้แต่ขณิกสมาธิเลย ขณิกสมาธินี้ขั้นต้นที่เราได้สัมผัสมาคือความสงบ ขณิกสมาธิละเอียดนี้ก็ตามรู้อาการที่เกิดมีขึ้นได้ แต่ยังไม่เป็นปัจจุบันขณะ ไม่เห็นลำดับ ไม่ถึงของจริงแท้ ยังปะปนกับความคิดตน ทำให้หลงนิมิตว่าจริงได้ง่าย
ดังนั้นแลเมื่อเราพิจารณาเห็นดังนี้ ซึ่งสิ่งที่เป็นกับตัวเรานี้ เราไม่ได้เรียนอภิธรรม ไม่รู้จักและสนใจที่จะอ่านในพระอภิธรรม แต่โดยสันดกานมักที่จะเห็นจริงแล้วตั้งปณิธานไว้ว่า จะยังพระพุทธศาสนาให้อยู่ตราบสิ้นกาลนาน ครบสิ้นพุทธันดร ยังให้เกิดมีผู้ที่บารมีเต็มดีแล้วควรแก่พระนิพพาน หรือ ละสังโยชน์ได้บ้างได้รู้ตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนและศรัทธาในพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุดังนี้เราได้มาพิจารณาเห็นว่า
-
ปริยัติ เวลาที่เราอ่านพระธรรม ส่วนมากจะเป็นของครูบาอาจารย์ พระสูตรไรๆ อ่านเรียนรู้เพื่อควมมีใจถึงธรรม มีใจตั้งมั่นในจุดมุ่งหมายเพื่อรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าให้ยิ่งๆขึ้น ให้เห็นแนวทางปฏิบัติกรรมฐาน การวางกาย วาจา ใจ และ ถึงความปลงใจน้อมไปในธรรมอันเป็นกุศลเพื่อความหลุดพ้น
-
ปฏิบัติ เวลาที่เราปฏิบัติกรรมฐาน สิ่งไรๆที่รู้มาให้ทิ้งให้หมด ให้ทำใจเป็นที่สบาย ยินดีในสมาธิ ไม่หวังปารถนาเอาสิ่งไรๆ ไม่ไปหวนระลึกคำนึกในปริยัติที่เรียนรู้จดจำมา เอาความรู้นั้นนั้นทิ้งไปให้หมด ให้จดจำเพียงว่า พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ลมหายใจและพุทธานุสสติ ครูบาอาจารย์สอนให้อย่าทิ้งพุทโธ พุทโธคือพระพุทธเจ้า พุทโธนี้มีคุณมาก พุทโธเป็นกำลังให้จิต พุทโธนี้สลัดซึ่งกามราคะ โทสะ โมหะได้ พุทโธเป็นกรรมฐานกองใหญ่คือเป็นทั้งยอดและพื้นฐานกรรมฐาน ให้ทำพุทโธไปเรื่อยๆ ตั้งปักหลักที่ปลายจมูกระลึกไว้ว่า..
๑. ตั้งจิตมั่นที่จะปฏิบัติเพื่อเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ไม่มีอื่นนอกจากนี้อีก
๒. สิ่งสัมผัสรับรู้ในภายนอกเหล่าใด ความปรุงแต่งตรึกนึกคิดสมมติภายในเหล่าใด ล้วนสมมติ ไม่ใช่เครื่องยึด เมื่อเข้าไปเสพย์ล้วนมีแต่ทุกข์ หาสุขไรๆไม่ได้ เราอย่างไปติดใจข้องแวะทั้ง สิ่งที่รู้สัมผัสภายนอก และ ความตรึกนึกคิดสมมติกิเลสภายใน ละมันไปเสีย มันเป็นทุกข์ จิตรู้สิ่งใดล้วนเป็นสมมติทั้งสิ้น
๓. เมื่อจะทำพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ก็ต้องทำจิตให้เป็น พุทโธ คือ เป็นผู้รู้เห็นตัวสมมติ ผู้ตื่นจากตัวสมมติ ผู้เบิกบานหลุดพ้นจากความลุ่มหลงสมมติ ซึ่งของจริงที่มีอยู่ในกายเรานี้ที่รู้ได้อยู่ทุกๆขณะก็คือ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมหายใจนี้เป็นที่สงบ ลมหายใจเป็นที่สบาย ลมหายใจนี้ไม่มีโทษ ลมหายใจนี้ไม่ทำให้เร่าร้อน รู้ลมหายใจย่อมไม่มีทุกข์ดังนี้ **แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นผู้มีอานาปานสสติเป็นอันมาก คือ รู้ลมหายใจอยู่ทุกๆขณะตลอดเวลา ทรงตรัสอีกว่า ลมหายใจนี้เป็นวาโยธาตุในกายเรา เป็นกายสังขาร เป็นสิ่งที่เนื่องด้วยกาย เป็นสิ่งที่กายต้องการ เมื่อรู้ว่ามีคุณมากขนาดนี้ก็ให้เราตั้งพุทโธนี้ไว้ในใจ บริกรรมพุทโธไปตามลมหายใจ ด้วยพุทโธนี้ คือ พุทธานุสสติ คือ การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
- ปฏิบัติโดยปักหลักไว้ที่ปลายจมูกไม่เอนเอียงหวั่นไหวไปตามลม หายใจเข้ายาว บริกรรม "พุท" , หายใจออกยาวบริกรรม "โธ" เพื่อทำจิตน้อมไปให้ถึงความเป็นพุทโธ..คือ ทำจิตให้ถึงความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั่นเอง
** เมื่อจิตเป็นพุทโธแล้ว คำบริกรรมจะหายไป จะเหลือแต่สภาวะที่รู้เห็นตามจริงโดยปราศจากสมมติที่กิเลสสร้างขึ้นมาหลอกจิต ไม่มีความคิด แต่มีความแนบอารมณ์ไว้อยู่ สำเหนียกรู้อยู่ซึ่งสภาวะธรรมทั้งปวงที่เกิดมีขึ้น
** เมื่อรู้เห็นตามจริงก็จะเกิดสภาวะที่ จิตเป็นผู้ตื่น คือ จิตจะไม่ยึดจับสมมติกิเลส จิตรู้แต่ของจริงมันจะไม่จับยึดสมมติกิเลสไรๆ จะปักหลักแต่ลมหายใจเท่านั้นจิตจะน้อมไปแต่ ศีล ทาน ภาวนา สมาธิ มีสติสัมปะชัญญะสังขารโดยรอบ มีปัญญา ศรัทธาในพระพุทธเจ้า เป็นอันมาก จิตสำนึกรู้ซึ่งกฏแห่งกรรม บาป บุญ คุณ โทษ ตามจริง จิตจะไม่ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆเลย เพราะจิตมันรู้ว่าสมมติกิเลสมันหาประโยชน์ไรๆไม่ได้นอกจากทุกข์
** เมื่อจิตถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น จิตจะไม่ติดใจข้องแวะในสิ่งไรๆทั้งสิ้น ความคิดแทบจะไม่มี มีแต่รู้ปัจจุบัน และตั้งมั่นอยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น เมื่อคิดก็จะเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์มีเนกขัมมะวิตกเป็นอันมาก กิเลสย่อมเข้ามาปะปนไม่ได้ แม้จะมีรายล้อมให้จิตรู้ แต่จิตจะก็ไม่จับยึดเอาทั้งสิ้นจะเห้นเป็นแต่เพียงสภาวะธรรมหนึ่งๆเกิดมีขึ้นอยู่เท่านั้น ไม่มีค่า ไม่ใส่ใจยินดี มีสติสัมปะชัญญะสังขารโดยรอบแต่กุศลตลอดเวลา เป็นผู้ไม่มีทุกข์อีก จิตใจแจ่มใส เบิกบาน เพราะไม่ยึดสมมติ ไม่ติดคิด ไม่เร่าร้อนต่ออารมณ์เพราะไม่ติดใจข้องแวะให้เกิดมี ราคะ โทสะ โมหะ นี่เรียกว่าถึงความเป็นผู้เบิกบานแล้ว
-
แต่ข้อระวังในอารมณ์นี้คือ คนส่วนมากเมื่อถึงอารมณ์นี้มักจะหลงยึด ว่าตนรู้แล้วเห็นจริงสูงกว่าดีกว่าผู้อื่น ผู้อื่นด้อยกว่า เห็นเขาพูดคุยเล่นกันก็มองว่าคนอื่นไม่ทำไม่ปฏิบัติ ไปเพ่งโทษคนอื่นเอาเสียได้ ตีตนเสมอผู้อื่น ถือตัวว่าดีกว่าผู้อื่น อันนี้เป็นอุปกิเลสทั้งนั้น ด้วยเหตุดังนี้จงระวังอย่าให้จิตมันหลอกจิตทำสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณ มรรคญาณให้เป็นอุปทานเป็นกิเลสตัณหาไป แทนที่จะต่อยอดสิ่งที่มีที่เกิดขึ้นนั้นของตนให้มันดี ดังนั้นเมื่อถึงสภาวะนี้ให้รู้ว่า อารมร์ความรู้สึกทั้งปวงสักแต่เป็นเพียงสังขาร มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เสื่อมไปอยู่ทุกขณะ ไม่เป็นที่ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน บังคับไม่ได้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตน..[/i] -
พึงจำคติของพระสารีบุตรเมหาเถระ และ พระราหุลมหาเถระ เอาไว้ว่า เราเป็นเพียงผู้ไม่รู้ สิ่งที่เรารู้นี้ช่างน้อยนัก แค่เพียงเศษเสี้ยวธุลีที่ท่านผู้รู้และพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกทั้งปวงท่านรู้เท่านั้น เรายังปฏิบัติมาน้อยเห็นมาน้อย ต้องทำให้อย่างนี้ๆให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก ธรรมของพระพุทธเจ้ามีมากเท่าเม็ดทรายบนโลกนี้เราจักเรียนรู้ให้มากเป้นผู้พหูสูตร จะรู้ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและจากครูบาอาจารย์ทั้งหลายให้มากประมาณเท่าเม็ดทรายบนโลกนี้.. - ดังนั้นเมื่อมันเกิดอยู่นี้ ให้จดจำว่ามันมีคุณอย่างไรๆ ควรแก่น้อมนำมาเจริญให้ถึงอยู่เนืองๆหรือไม่ และในขณะที่อารมณ์นี้เกิด จิตจะเป็นสมาธิง่ายมาก แค่หายใจเข้าตั้งปักหลักที่ปลายจมูกรู้ลมเข้าผ่ายโพรงจมูกเข้าจากเบื้องหน้ามาภายในก็ถึงสมาธิแล้ว ให้สืบต่อให้จิตเป็นฌาณ แล้วเข้าออกฌาณ รู้วสีฌาณได้ ทบทวนคือย้อนพิจารณาว่าเราปฏิบัติเป็นมาอย่างไร สะสมเหตุอย่างไร ทำใจไว้อย่างไรๆ พิจารณาอย่างไรจึงเข้ามาตรงนี้ได้ เผื่อเมื่อเสื่อมจะได้กลับมาเจริญใหม่ได้ เพราะมันเพียงแค่โลกียะฌาณเท่านั้น ทิ้งความเบิกบานในโลกียะฌาณ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในโลกียะฌาณ
ดังนั้นจากประสบการเรียนรู้ประฏิบัิตโดยตรงของเราสรุปได้ดังนี้ว่า
๑. ปริยัติ รู้เพื่อปลง, รู้แล้ววาง
๒. ปฏิบัติ ทำเพื่อเข้าถึงของจริง, วางทิ้งทั้งหมดแล้วทำ