บันทึกกรรมฐาน วันที่ 27/1/58
รวมกรรมฐานที่ได้ปฏิบัติมาทั้งหมดที่เรากำลังเจริญปฏิบัติอยู่ในตอนนี้คือ
1. พุทธานุสสติ + อานาปานสติ คือ บริกรรม "พุทโธ" กำกับลมหายใจเข้าและออก ระลึกถึงคุณที่ว่าด้วยความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จากโมหะความลุ่มหลงในสิ่งสมมติทั้งปวงของพระพุทธเจ้าน้อมมาสู่ตน
- เพราะจิตรู้ทุกสิ่ง แต่สิ่งที่จิตรู้เป็นสมมติทั้งหมด จิตยึดสิ่งใดสิ่งนั้นคือสมมติ
- ดังนั้นเราจึงไม่ควรยึดถือเอาสิ่งไรๆก็ตามที่จิตรู้ทั้งหมดมาเป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์หลงเสพย์ไปตามความคิดที่อาสวะกิเลสสร้างขึ้นมาให้จิตรู้ ให้จิตเสพย์ ให้จิตลุ่มหลง
- ลมหายใจคือกายสังขารเป็นสภาวะธรรมจริงที่จิตควรรู้ ควรเสพย์ ควรยึดมั่น บริกรรมพุทโธทุกลมหายใจเข้าออกไปน้อมเอาความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานจากโมหะสิ่งสมมติทั้งปวงที่จิตรู้ของพระตถาคตเจ้านั้นมาสู่ตน
- รู้และทำแค่นี้พอ จึงจะอยู่กับความจริง ไม่ต้องอยู่กับนิมิตมโนภาพความตรึกนึกคิดไรๆทั้งสิ้น)
- เมื่อใช้ชีวิตตามปกติจะรึกว่าพระตถาคตเจ้านี้ได้เสด็จมาอยู่เบื้องหน้าแลดูการปฏิบัติของเราอยู่ ทรงเจริญวิชชาและจรณะให้เราดู แล้วเราก็น้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตามพระองค์
2. ธัมมานุสสติ คือ พระธรรมบทใดๆก็ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้ว ที่เราปฏิบัติมาดีแล้วเห็นผลแล้วด้วยตนเอง ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล แลควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด รู้ได้เฉพาะตน เป็นธรรมอันวิญญูชนสรรเสริญน้อมปฏิบัติ อย่างเราตจะนึกถึง พระธัมมจักรกัปปวัตนสูตร และ คิริมานนทสูตร(สัญญา ๑๐)
3. สังฆานุสสติ คือ ระลึกถึงพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย หรือ ครูบาอาจารย์ผู้เป็นพระอริยะเจ้าทั้งหลายผู้ปฏิบัติดีแล้วที่ใด้แสดงธรรมของพระตถาคตและชี้แนะแนวทางให้เข้าถึงทั้งปวงให้แก่เราเป็นต้น อย่างเรามีระลึกถึง พระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, หลวงปู่เสาร์ กันตสีโร, หลวงปู่ดุลย์ อตุโล, ท่านพ่อลี ธัมมธโร, หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่นิล มหันตปัญญโญ, พระราชพรหมญาณ, ครูบาอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ได้สอนกรรมฐานให้แก่เรา คือ หลวงปู่บุุญกู้ อนุวัฒโน, หลวงพ่อเสถียร, พระครูสุจินต์ธัมมวิมล, พระอาจารสนธยา ธัมมวังโส เป็นต้น เมื่อระลึกถุงท่านทั้งหลายหมู่นั้นเราจะระลึกเอาปฏิปทาคุณจริยะวัตรที่ท่านเจริญปฏิบัติ ที่ท่านชี้แนะสั่งสอนเรา แล้วน้อมนำให้เกิด พละ ๕ แล้วเจริญปฏิบัติตามท่าน
4. เจริญปฏิบัติในกุศลกรรมบถ ๑๐ และ พรหมวิหาร ๔ ให้เข้าถึง เจโตวิมุตติ
5. สีลานุสสติ คือ ระลึกถึงศีลข้อใด หมู่ใด ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ที่เราเจริญมาบริบูรณ์ดีแล้ว ให้เกิดเป็นฉันทะ มีวิริยะเป็นสังวรปธาน มีฉันทะสมาธิ ณ ที่นั้น
4. จาคานุสสติ คือ ระลึกถึงทานอันใดที่เราทำมาดีแล้ว ที่มีการสละให้อันดีแล้ว บริบูรณ์แล้ว ทานอันบริบูรณ์ไปด้วยศีลและพรหมวิหาร๔ มีอุปการะเอื้อเฟื้อหรือทานอันบริบูรณ์ด้วยศีลและพรหมวิหาร ๔ ศรัทธาที่ได้ทำอแก่พระอรหันต์และพระพุทธศาสนามาดีแล้ว ได้มีอุปการะเอื้อเฟื้อที่ทำให้บุพการีแล้ว ต่อบุตรและภรรยา ญาติพี่น้องทั้งหลายเป็นต้น ไปจนถึงผู้อื่นสัตว์อื่น ทำให้เกิดความยินดี มีฉันทะ มีวิริยะ มีจิตตะ มีวิมังสา เกิดฉันทะสมาธิ
5. มรณะสติ คือ ระลึกถึงความตาย ว่าเราจักต้องตาย แล้วต้องเพียรพยายาม(วิริยะ อุตสาหะ)ปฏิบัติให้ดีพร้อมก่อนที่เราจักตายในทุกๆขณะที่ลมหายใจเข้าหรือออก มีความกตัญญู กตเวที ต่อบุพการีมีเจตนาในศีล สมาธิ ทาน ภาวนาเป็นต้น
5. อิริยาบถบรรพ เช่น เดินจงกรม ยืน นั่ง นอน เป็นต้น จนรู้เห็นสภาวะธรรมในกายตนที่กำลังดำรงอยู่
6. สัมปะชัญญะบรรพ คือ รู้กิจการงานที่ตนกำลังทำกำลังดำเนินไปในทุกขณะปัจจุบัน จนรู้เห็นสภาวะธรรมในกายตนที่กำลังเป็นไปตามแต่สภาวะนั้นๆ
6. เมื่อกำลังทำกิจการงานไรๆอยู่ก็มีสติสัมปะชัญญะมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานไม่ฟุ้งซ่านส่งจิตออกนอก เมื่อเวลาว่างขณะดำเนินชีวิจประจำวันอยู่ก็รู้กาย รู้ใจ รู้ลมหายใจเข้าออก พุทโธ ไปเสมอๆ ก่อนนอนและตื่นนอนก็ทำสมาธิพุทโธไปทุกวัน เวลาว่างหรือวันหยุดก็เข้าวัดไปขอกรรมฐานจากหลวงปู่บุญกู้บ้าง นั่งกรรมฐานที่วัดมหาธาตุบ้าง วัดหลักสีบ้าง ที่ห้องพักบ้าง เป็นประจำอยู่เนืองๆโดยขอให้ได้ทำให้มากเข้าไว้ เพื่อเป็น "พุทธบูชา" เป็น "ปฏิบัติบูชา" ไม่ใส่ใจหรือหวังในผลจากการปฏิบัติ
ว่าด้วย..มรรคมีองค์ ๘ ที่เกิดจากการทำสมาธิ ในความเข้าใจของปุถุชนผู้ยังเข้าไม่ถึงธรรมตามจริงอย่างเรา
- สัมมาทิฐิ :
กาย : เมื่อให้จิตรู้ว่ารูปขันธ์คือกายเรานี้มีอาการ ๓๒ มันสักแต่เป็นเพียงธาตุ ๕ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ธาตุเหล่านี้สงเคราะห์กันขึ้นไม่มีความรู้สึกนึกคิดไม่มีสุขทุกข์ไม่เจ็บไม่ปวดเป็น แต่อาศัยวิญญาณธาตุ เป็นธาตุตัวที่ ๖ ที่ทำหน้าที่รู้ รู้ทุกอย่าง ยึดทุกอย่าง เข้าไปยึดครองเอากองธาตุทั้ง ๕ เหล่านั้นไว้ ก็อาศัยวิญญาณธาตุที่เข้าไปยึดในธาตุทั้งปวงนั้นแลจึงเจ็บ ปวด สบาย สุข ทุกข์ได้ ทั้งๆที่ธาตุ ๕ มันไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆเลย แต่อาศัยวิญญาณธาตุนี้แลเข้าไปยึดครองธาตุทั้ง ๕ นั้นแล้วเกิดรู้ผัสสะที่นั้น ทั้งๆที่ผัสสะอาการนั้นมันเกิดและดับไปแล้วจิตมันจึงจะรู้ได้ ก็วิญญาณธาตุนี่แหละเข้าไปยึดครองเอาสิ่งนั้นโดยอาศัยสัญญาความจำได้หมายรู้จึงเกิดอาการเจ็บ ปวด และ เวทนาขึ้น แล้วก็สังขารตรึกนึกปรุงแต่งสืบต่อไปอีกไม่รู้จบ ความเข้าไปยึดในรูปขันธ์ว่านี่เป็นเรานี่เป็นของเรานี่เป็นตัวตนบุคคลใด สัตว์ใด สิ่งใดๆมันหาประโยชน์ไรๆไม่ได้นอกจากทุกข์ ดังนั้นอย่าเข้าไปยึดครองยึดมั่นถือมั่นตามที่วิญญาณธาตุนั้นยึดครองธาตุทั้ง ๕ ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้คนนั้นคนนี้
ลมหายใจเรานี้ต่างหากที่คือของจริงที่มีอยู่ในตน ที่เราสามารถรับรู้ได้จริง รู้ว่าลมหายใจ คือ กายสังขาร..เป็นความปรุงแต่งเป็นไปของกาย เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงกาย เป็นสิ่งที่กายต้องการทำให้ทรงสภาวะธาตุภายในกายนั้นอยู่ได้ ให้ปักหลักมั้นไม่โคลงเคลงไปตามลมตั้งที่ปลายจมูกจับระลึกรู้ที่ลมหายใจเข้า-ออก
จิต : และ มีสติสัมปะชัญญะรู้เห็นตามจริงว่าจิตนี้เป็นเพียงกองขันธ์ที่ทำหน้าที่รู้และยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น เมื่อเราตายจิตหรือวิญญาณขันธ์ก็ดับสูญตายตามไปด้วย(ตรงนี้เป็นความรู้ทางพระอภิธรรมที่ท่านเดฟวัดเกาะได้กรุณาชี้แนะเราไว้ เพื่อให้รู้ตามจริงและคลายความยึดมั่นในวิญญาณขันธ์) สั่งหรือบังคับมันให้รู้ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ได่ จิตจึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน
จิตนี้มันรู้ทุกสิ่งแล้วก็มันเข้าไปยึดครองสิ่งที่มันรู้ไว้ แต่สิ่งที่มันรู้ที่มันเข้าไปยึดครองน่ะมีแต่สมมติเท่านั้นไม่มีความจริงเลย ดังนั้นแล้วจิตรู้สิ่งใดสิ่งนั้นเป็นสมมติทั้งหมด จิต หรือ วิญญาณขันธ์ หรือ วิญญาณธาตุนี้เราจึงไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นหรือตั้งความปารถนาตามสมมติที่จิตมันรู้ มันยึดครอง หรือ แม้แต่ตัวจิตมันเองก็ตาม เพราะมันเป็นทุกข์ เมื่อรู้เห็นดังนี้ในกายและใจตนแล้ว ก็เป็น ความเห็นชอบ
อานิสงส์จากความเห็นชอบนี้ : ขั้นต้น..มีจิตน้อมในกรรมบถ ๑๐ , ขั้นกลาง..ความตรึกนึกฟุ้งซ่านก็ไม่มี มีสภาวะที่ว่างเท่านั้น จิตตั้งมั่นง่าย รู้ลมหายใจเข้าออกแทบจะทุกขณะจิต, ขั้นสุดด้วยปัญญาญาณเกิดความรู้เห็นในสภาวะธรรมตามจริง แล้วไม่ยึดจับเอาอาสวะกิเลส ปหานอาสวะกิเลสโดยสิ้นเชิง โดยไม่ต้องอาศัยเจตนา
- สัมมาสังกัปปะ : เมื่อให้จิตมันบริกรรม "พุทโธ" ให้มันตรึกนึกระลึกถึงความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ขององค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า แล้วน้อมเอาคุณนั้นมาสู่ตนให้ตนได้รู้ได้ตื่นจากสมมติทั้งปวงแล้วเป็นผู้เบิกกบานแล้วตามพระตถาคตเจ้านั้น มีความระลึกรู้จดจ่อแนบแน่นไปลมหายใจเข้าออก รู้สภาวะธรรมที่กำลังดำเนินไปแห่งกาย นี่คือความคิดชอบ ด้วยความคิดออกจากทุกข์จากความหลงสมมติทั้งปวง
จิตตั้งมั่นจดจ่อแนบแน่นรู้ลมหายใจเข้า บริกรรมว่า "พุท" จิตตั้งมั่นจดจ่อแนบแน่นรู้ลมหายใจออกบริกรรมว่า "โธ" - คำบริกรรมนี้ คือ "วิตก"
- ความแนบแน่นในอารมณ์รู้ว่าลมหายใจเข้าหรือออก คือ "วิจาร"
- ความระลึกถึงคุณแห่งความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ของพระพุทธเจ้า แล้วน้อมเอาพระบารมีแห่งคุณนั้นมาสู้ตนให้ตนได้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น จากความลุ่มหลงสมมติทั้งปวง แล้วถึงความเป็นผู้เบิกบานตามพระตถาคตเจ้านั้น คือ "เจตนา+สติ+วิตก+สัญญา+สังขาร" เกิดเป็นความหวนระลึกตรึกนึกเป็นกุศลวิตกโดยชอบ นี่คือ ความคิดออกจากทุกข์ มีความตั้งมั่นเพียรอยู่คิดว่าการเจริญปฏิบัตินี้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่บิดา มารดา ลูก เมีย ญาติ พี่ น้อง ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย เทวดา มาร พรหมทั้งหลาย ทั้งหมดนี้ คือ ความคิดชอบ
- สัมมาวาจา : วาจาที่กล่าวบริกรรมในความตรึกนึกว่า พุทโธ และ กล่าวระลึกถึงและน้อมเอาคุณแห่งพุทโธนั้น เป็นวจีสุจริต เพราะเป็นวาจาที่ประกอบไปด้วยประโยชน์ประกอบด้วยคุณ เป็นไปเพื่อความะพ้นทุกข์ที่เกิดจากความคิดชอบ นี่คือ วาจาชอบ
- สัมมากัมมันตะ : กายที่อยู่ในความสงบในขณะทำสมาธินี้ ไม่ได้นำพากายไปเสพย์ในกิเลสตัณหา ดำรงกายอยู่เพื่อความเป็นประโยชน์สุขเพื่ออกจากทุกข์ คือ ความประพฤติชอบ
- สัมมาอาชีวะ : ในขณะที่ทำสมาธิอยู่นี้ เมื่อเราไม่ส่งจิตออกนอกมีจิตอยู่กับลมหายใจเข้าออกยังความสงบเลี้ยงชีพทางใจ มีลมหายใจเลี้ยงชีพทางกายเป็นกายสังขาร ไม่ดำรงชีพอยู่โดยความก้าวล่วงในศีล ขณะนั้นเรากำลังเลี้นงชีพอยู่ด้วยการละเว้นจากความเบียดเบียน ก็เป็นการเลี้ยงชีพชอบ
- สัมมาวายามะ : มีความยินดีในสภาวะที่มีความสงบว่างของกายและใจ ทำให้จิตนั้นมันตั้งมั่นตั้งใจเพียรพยายามที่จะตามรู้ลมหายใจเข้าและอกกอยู่ทุกๆขณะจิตไม่ลดละ เป็นเหตุให้จิตจดจ่อแนบแน่นอยู่ได้นานกับลมหายใจไม่ส่งจิตออกนอกไปหลงตามความคิดหรือมโนภาพใดๆ มีความทรงกายอยู่ไม่หวั่นไหว มีกายและใจดำเนินไปอยู่แล้วถึงความดับไปซึ่งนิวรณ์ ๕ ได้ อันนี้ก็เรียกว่า ความเพียรชอบ
- สัมมาสติ : มีความระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก รู้ตัวว่ากำลังทำสมาธิ จนถึงซึ่งความรู้เห็นสภาวะธรรมในปัจจุบันที่จิตรู้ทั้งปวง รู้สภาวะธรรมจริงๆทางกายที่เป็นไปในปัจจุบันทั้งปวง ไม่หวนระลึกรู้โดยสัญญา อันนี้เรียก ความระลึกชอบ
- สัมมาสมาธิ : มีจิตจดจ่อเป็นอารมณ์เดียวอยู่ในสภาวะที่ว่าง เอื้อให้สติสัมปะชัญญะเป็นกำลังให้จิตรู้สภาวะธรรมตามจริงทั้งปวง โดยปราศจากการใช้ความคิดตรึกนึกหวนระลึกด้วยสัญญาในสิ่งนั้น เข้าถึง อุปจารสมาธิ และ อัปนาสมาธิ อันนี้คือ จิตตั้งมั่นชอบ