วันวิสาขบูชา 20 พ.ค. 2559 กรรมและผลของกรรมที่ทำให้ถึงพระนิพพาน และไปไม่ถึงพระนิพพาน
อธิบาย....ธรรมอันนี้เป็นความรู้เห็นโดยส่วนตัวที่ข้าพเจ้าเท่านั้น ซึ่งได้รู้เห็นมาจากการปฏิบัติ สดับ ฟัง อ่าน ศึกษาพิจารณาตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และ ครูบาอาจารย์ หากผิดพลาดบิดเบือนไม่จริงอันใดขอให้ท่านทั้งหลายรู้ไว้ว่า มันมาจากความเห็นผิดโดยส่วนตัวของข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้นตามที่ได้แจ้งไว้ ไม่เกี่ยวกับพระธรรมคำสอนของพระตถาคต และครูบาอาจารย์แต่อย่างใด ซึ่งพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์นั้นท่านได้สอนมาดีแล้วถูกตรงแล้ว แต่เป็นเพราะความเข้าใจผิดเห็นผิดหลงผิดของผมเองเท่านั้นที่ทำให้ธรรมของพระตถาคต และ ครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนนั้นบิดเบือนไม่เป็นจริง
...แต่หากธรรมบทนี้มีประโยชน์ เอื้อประโยชน์ ช่วยให้ท่านเข้าถึงธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้ว เกิดศรัทธาด้วยปัญญา ถึงพระรัตนตรัย ขอให้ท่านทั้งหลายจงรู้ไว้เลยว่า ธรรมทั้งปวงของพระสัพพัญญูสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้า พระบรมศาสดา ให้ผลได้ไม่จำกัดกาลจริงๆ ผู้รู้ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ได้เฉพาะตน สามารถพลิกแพลงปรับใช้ได้ตามกาลไม่จำกัด เป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์ได้จริง ดังนี้
...พระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงตรัสรู้เรื่องกรรมแจ้งสังขารโลกไม่มีมีใครยิ่งกว่า บัดนี้ผมจักขอกล่าวบทธรรมอันเป็นกรรมไปสู่ผลที่ไม่ถึงพระนิพพาน และ กรรมอันเป็นเหตุส่งผลให้ไปถึงให้ถึงพระนิพพาน
...กรรม คือ การกระทำทั้งในอดีตกาลก่อนที่ส่งผลให้เป็นวิบากกรรมในปัจจุบันนี้ และ การกระทำในปัจจุบันนี้ อันชื่อว่ากรรม อันเป็นเหตุเป็นผลให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ดังนี้...
การที่เราอ่านเยอะรู้ธรรมมาก รู้หมดทุกอย่าง ครบ 84000 พระธรรมขันธ์ แต่ก็ไม่อาจได้สัมผัสของจริงนั้นเลย เคยคิดมั้ยครับเพราะอะไร
- บ้างเราไปนั่งๆนึกดูอาการจริงแต่ก็ได้แค่การอนุมานเอาไม่มีของจริงเลย
- บ้างอ่านท่องจำอย่างเดียวไม่ปฏิบัติ ก็ได้แต่ความคิด รู้เห็นเกินความคิดอนึุมานไม่ได้ ไม่มีของจริง
- บ้างหลับหูหลับตาปฏิบัติเอาตามๆกันมาแบบหลับหูหลับตาทำ
เคยคิดไหมรู้ธรรมทั้งมากมายแต่เข้าไม่ถึงธรรมเลย เคยถามตนเองไหมครับ ติดความคิดหลงความคิดแล้วก็ถือตัวตนว่าจริงไปทั่วไม่หยุด
โดยส่วนตัวผมนี้ผมได้ถามตัวเองบ่อยๆว่านี่มาถูกทางไหม เราทำถูกไหม ทำไมไม่ถึง ไม่เห็นไม่ได้สักที มีโอกาสได้สัมผัสแบบปริ่มๆบ้างแต่ก็ทำไม่ได้ ทรงได้ไม่นาน พอระยะเวลาผ่านไปก็มาเป็นเหมือนเดิม ได้กัดฟันไม่หลับไม่นอนไม่กิน 2 วัน หนึ่งคืน เหมือนจะเข้าสมาธิได้ แต่ก็แค่ได้สมาธิไปไม่ถึง เรียนรู้อภิธรรมมากมาย อ่านพระไตรปิฏกยิ่งกว่าติวสอบเข้ามหาลัย ก็ไม่เห็นจริง/ไม่ถึงสักที ถึงแค่อัตตาตน ท่องจำไม่หยุดว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่เคยเห็นจริงสักที ได้กแต่อนุมานเอาว่านี่มันดับ ไม่เที่ยง ผัสสะแล้วดับไป นี่มันบังค้บไม่ได้ นี่มันเป็นทุกข์ ผมเฝ้าตอบปัญหาตนเองมาเสมอๆว่าทำไมไม่ถึงสักที
..ก็จนวันนึงได้เข้าไปหาหลวงปู่บุญกู้บอกสิ่งที่ตนเป็นอยู่นี้แก่ท่าน ขอคำชี้แนะจากท่าน ท่านนี่ด่าผมเลย เหตุไม่ทำ มันจะไปเอาผลได้ยังไง วินาทีนั้น เหมือนฟ้าฟาดใส่หัวเปรี้ยงหนึ่ง ทบทวนความจำทั้งหมดที่ทำๆมา เหตุยังไม่ทำจะไปถึงผลได้ยังไง ๓ อย่างนี้ควบคู่กันไปจะเห็นธรรมตรงตามพระพุทธเจ้าทันทีไม่ลำบากเลย สมดั่งพระศาสดาตรัสสอนว่า..
- วิมุตติเกิดมีบริบูรณ์ได้ ก็ต้องมีสัมโพชฌงค์อันบริบูรณ์เป็นเหตุเป็นอาหาร
- สัมโพชฌงค์จะบริบูรณ์ได้ ก็ต้องมีมหาสติปัฏฐานอันบริบูรณ์
- มหาสติปัฏฐานจะบริบูรณ์ได้ ก็ต้องมีสุจริต ๓ อันบริบูรณ์ นั่นคือ มรรค ๘ นั่นเอง ศีล ทาน ภาวนาก็อยู่ในมรรค
- สุจริจ ๓ จะบริบูรณ์ได้ก็ต้องมี สติ และ สัมปะชัญญะที่บริบูรณ์ สติสัมปะชัญญะนี้ ก็อาศัยเกิดมีจากการอบรมกาย วาจา ใจ ของเราใน ศีล ทาน ภาวนา นั่นเอง
* ศีล เป็นเหตุใกล้ให้สติ สัมปะชัญญะ
* จาคะได้ความอิ่มใจเป็นเหตุใกล้ให้สมาธิ
* ศีลและจาคะเป็นเหตุเอื้อแก่ภาวนา
* สมาธิเป็นเหตุใกล้ให้ปัญญา เป็นมหาสติปัฏฐาน ถึง โพชฌงค์ คือ วิราคะ
กรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง ก็ล้วนสอนให้ทำไว้ในใจมีสติเป้นเบื้องหน้า มีสติตั้งมั่นจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน เป็นเหตุให้จิตตั้งมั่นแน่วแน่เป้นอารมณ์เดียวตาม ทั้งสิ้น
มหาสติปัฏฐาน ๔ พระพุทธเจ้าสอนให้มีกายเป็นเบื้องหน้าก่อนสิ่งอื่น เพราะ กายานุปัสสนา เป็นเหตุให้เกิด สติ สัมปะชัญญะ คลายอุปาทาน ความยึดมั่นขันธ์ ๕ ลง จนถึงละสังโยชน์ได้ มีฐานให้ปัญญาคือ ฌาณ ๔ พระอรหันต์สุขวิปัสสโกทุกรูปท่านมีสมาธิถึง ฌาณ ๔ หมดท่านจึงเดินปัญญาได้ สมดั่งพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า มรรคมีองค์ ๘ ทางนี้เป็นทางเดียวในการพ้นทุกข์ หากไปนั่งท่องจำเอาอย่างเดียวแล้วบรรลุได้ก็ไม่ต้องมีมรรค ๘ สิ หากหลับหูหลับตานั่งสมาธิอย่างเดียวแล้วบรรลุธรรมได้ก็ไม่ต้องมีวิปัสสนาสิ อันนี้ขัดกับมรรค ๘ ทั้งหมด
ดังนั้นแลท่านผู้เจริญในธรรมทั้งหลาย เป็นผู้รู้ธรรมทั้งหลาย ครูผมผู้เป็นพระที่มีบารมีเต็มให้ถึงพระนิพพานแล้ว ท่านจึงสอนว่า ทำเหตุให้ดี สะสมมันไป ทำบ่อยๆให้มากๆเรื่อยๆเนืองๆสะสมไปแต่อย่าสุดโต่งไป ทำสะสมเหตุไปเรื่อยๆเนืองๆไม่ขาดมีมากทำมากมีน้อยทำน้อยตั้งมั่นในกุศล
แต่อย่าอัตตาบ้าบุญบ้าธรรมเพราะอันนี้คือความลุ่มหลง สมดั่งพระบรมศาสดาตรัสสอนในการเจริญอิทธิบาท ๔ ว่า เธอจงมีความเพียรอยู่ประครองจิตไว้ใน ศีล ทาน ภาวนา(สมาธิ+ปัญญา) ไม่ให้ย่อหย่อนจนเกินไป ไม่ตรึงจนเกินไป ไม่อยู่ไม่เป็นไม่ทำด้วยความหดหู่ เศร้าหมอง เหนื่อยหน่าย เสียใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่ฟุ้งซ๋าน ทะยานนอยากไขว้คว้า พร่ำเพ้อ เพ้อเจ้อ มีความยินดีในธรรรแต่ไม่ใช่ปารถนา เพียรอยู่ประครองจิตไว้ให้ทำเป็นที่สบายกายใจ ไม่ตรึงไม่หย่อนกลางๆ ไม่หดหู่่ ไม่ฟุ้งซ่าน
** ครูผมท่านสอนว่า..เกิดมาชาตินี้ได้เป็นคนทั้งทีอย่าเสียชาติเกิด ให้เอากำไรไปด้วย นั่นคือ ศีล ทาน ภาวนา เพราะทั้ง ๓ สิ่งนี้คือเหตุแห่งบารมี ๑๐ ทัศน์ เหตุไม่ดีจะไปเอาผลได้ยังไง ทำเหตุบ่อยๆสะสมก็เป็นอุปนิสัย สะสมไปเรื่อยก็เป็นจริต บารมี ติดตามเราไปทุกภพชาติ ให้ได้เสวยผลทั้งในปัจจุบันชาตินี้ และ ภพหน้า ชาติหน้า เมื่อมันเต็มก็จะบรรลุธรรมเอง หรือ มีคนมาสกิตปัญญาอั่งยิ่งให้เอง ศีล ทาน ภาวนา นี้เป็น มรรค ๘ ทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่จะพ้นทุกข์ได้ หากสะสมเหตุอกุศลไปเรื่อยไม่รู้จักทำกำไรชีวิตนี้ เกิดมาชาตินี้ก็ขาดทุน ตายไปก็ลงไปสู่ที่ชั่วเสียดายที่ได้เกิดมาเป็นคน เพราะกว่าจะเป็นคนได้นี้ลำบากนัก ต้องสะสมศีลมามากตั้งเท่าไหร่จึงจะพอเกิดเป็นคนได้ ต้องสะสมทานทั้งเท่าไหร่จึงจะมีธนะสานสมบัติ บริวารอยู่สุขสบายอย่างวันนี้ได้ ต้องสะสมภาวนามามากตั้งเท่าไหร่จึงจะไม่เป็นคนโง่ มีปัญญาดี ใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีทุกข์ ไม่เบียดเบียนได้
เกิดเป็นคนว่ายากแล้ว เกิดมาเจอพระพุทธศาสนานี้ยากยิ่งกว่า ดังนั้นเมื่อรู้เมื่อเจอแล้วก็รีบเจริญปฏิบัติ ศีล ทาน ภาวนา ตามที่พระพทุธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาทรงตรัสรู้ อย่าให้เสียชาติเกิด ให้เป็นกำไรชีวิตติดตามเราไปทุกภพชาติ
อย่าไปท่องจำให้รกสมอง อย่าไปอนุมานคาดคะเนหลอกตนให้มาก อย่าติดความคิดตนให้มาก ทำเหตุให้ดีเถิดท่านทั้งหลาย เหตุไม่ดีจะไปเอาผลได้ยังไง
ศีล ที่ทำให้เกิดมีขึ้นของ สติ สัมปะชัญญะ สมาธิ ทีนี้เราต้องศีลขนาดไหน จึงจะถึงสมาธิได้- เมื่อไหร่ที่มีศีลอยู่โดยความไม่เร่า ร้อน เป็นที่เย็นใจ สบายกายใจ ไปที่ใดก็สบาย เมื่อนั่นความฟุ้งซ่านจักไม่มี ไม่มีความเร่าร้อน ความกลัว ความอึดอัน ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท เป็นที่สบายไม่เร่าร้อนกายใจ อยู่สบาย
ทาน ที่ทำให้เกิดมีขึ้นของ สติ สัมปะชัญญะ สมาธิ ทีนี้เราต้องมีทานขนาดไหน จึงจะถึงสมาธิได้- อาศัยศีลเป็นฐาน แล้วเมื่อไหร่เรามีทานอยู่โดยความไม่อยากไม่หวัง สละ ยินดีสละ ไม่ติดใจข้องแวะในการสละ เป็นที่อิ่มเอมใจ เป้นที่พรั่งพรูเอิบอาบอิ่มสุข ไม่ต้องการสิ่งใดอีก มันอิ่มใจเป็นปิติ สุข สงบสบายกายใจ ถึงจาคานุสสติ ความอิ่มเต็มไม่ต้องการแสวงหาอีก
สมาธิ ที่ทำให้เกิดมีขึ้นของปัญญา ทีนี้เราต้องมีสมาธิขนาดไหน จึงจะถึงปัญญาได้- สมาธิ ที่ทำให้ถึงปัญญา คือ สมาธิที่มีสติสัมปะชัญญะตั้งมั่นมีจิตตั้งมั่นแน่วแน่ เกิดเป็นมหาสติปัฏฐาน จิตแยกขาดจากสมมติความคิด เห็นชัดความว่าง ความไม่มี แทงตลอดแจ้งชัด ของจริง กับสมมติ จิตเป็นพุทโธ คือ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
* ส่วนจะถึงปัญญาได้แค่ไหนตัดสังโยชน์ได้ไหมอยู่ที่ปัญญาเราคมแค่ไหน สะสมเหตุมาดีพอรึยัง ทำอินทรีย์ของเราให้แก่กล้าพอยังนั่นเอง*