เมษายน 19, 2024, 07:22:12 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: จะบาปไหมครับ  (อ่าน 9669 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
นริศกันย์
เด็กใหม่
*****

พลังความดี : 0


เพศ: ชาย
อายุ: 27
กระทู้: 1
สมาชิก ID: 3027


« เมื่อ: มีนาคม 11, 2016, 10:52:34 PM »

Permalink: จะบาปไหมครับ
การช่วยตัวเอง หรือ การสำเร็จความใคร่ ของคนธรรมดา จะบาปไหมครับ ?
เวลาทำลงไปแล้ว รู้สึกผิดมากๆ รู้สึกอยากเลิก แต่พอเวลาผ่านไปก็ กลับมาทำอีก แล้วก็รู้สึกผิดอีก วนเวียนไป --
ทำยังไงดีให้เลิกรู้สึกผิด ?
ส่วนตัวก็อยากเลิกไปเลยครับ แต่ยากมากๆมีวิธีไหมครับ ?




บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 16, 2016, 08:25:32 PM »

Permalink: จะบาปไหมครับ
คุณนริศก็เป็นผู้ศึกษาธรรมคนหนึ่ง ย่อมรู้ได้ว่ามันเป็นธรรมชาติของคนปกติทั่วไปครับ ยังมีราคะอยู่ทุกคนครับ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีใครที่ไม่มีราคะ แม้ได้ฌาณโลกียะเมื่อฌาณดับหรือเสื่อมมันก็เป็นเหมือนเดิมอีก แต่การหมกมุ่นกับมันมากยิ่งทำมากมันยิ่งติดเป็นอุปนิสัยจริตสันดานเราขนาดนอนหลับยังละเมอยิกๆเลยใช่มั้ยครับ ตื่นก็ยิกๆ ก่อนนอนก็ยิกๆ ผมเองผ่านจุดนี้มาแล้วเช่นกันครับ ซึ่งหลายคนจะอายในเรื่องนี้จึงไม่กล้าพูดหรือสนทนาแลกเปลี่ยนเพื่อจะละมัน จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องน่าอายเพราะคนทั่วไปก็มีกันทุกคนไม่มีคนโลกสวยคนไหนที่เป็นคนธรรมดาแล้วไม่ติดราคะเมถุน แต่หากคนมีราคะเมถุนเยอะอย่างเราๆนี้ละได้ มันมีคุณสูงมากกว่าสิ่งใดๆเลยนะ เพราะคนที่ละราคะเมถุนได้หรือเบาบางลงได้นี่ จิตเข้ากระแสมรรคได้ง่ายเลยนะครับ แต่ผู้ที่ละราคะเมถุนได้มีแต่พระอริยะเจ้าเท่านั้น สำหรับเราๆมากสุดก็เบาบางลงเท่านั้นเอง 

ตัวผมเองก็ยังมีกามราคะอยู่ ก็พยายามละเช่นกันครับ ตอนนี้ก็เบาบางลงได้พอสมควร

ผมเคยถามครูบาอาจารย์พระอริยะสงฆ์เรื่องนี้พร้อมขอขมาท่านว่า..

หลวงปู่ครับ.. อกุศลจิตผมมีเยอะ ผมคิดแต่เรื่องราคะเมถุน ทำไมผมถึงคิดแต่ราคะเมถุน มีจิตน้อมไปในราคะ ห้ามก็ไม่ได้ บังคับไม่ให้มันเกิดก็ไม่ได้ จะมีทางแก้ไขอย่างไร จะละความคิดนั้นได้ยังไงครับ ผมทุกข์เพราะความคิดมาก

ท่านหัวเราะแล้วสอนว่า..เราน่ะมันแค่ปุถุชนคนธรรมดา มันก็มีเหมือนคนทั่วไปแหละ ความคิดอกุศลก็มีมากเป็นธรรมดาของคนปกติทั่วไป ยังละความคิดอกุศลไม่ได้หรอก ให้เราเพียรทำเหตุสะสมไปเรื่อยๆเดี๋ยวมันก็ดีเอง เหตุยังไม่ทำจะไปเอาผลได้ยัวไง

เหตุนั้นคืออะไร คือ อาหารของสุจริต ๓ ก็สุจริต ๓ นี้คือมรรคนั้นเอง อาหารของสุจริต ๓ คือ สติ สัมปะชัญญะ ที่บริบูรณ์ และสิ่งที่ทำให้สติสัมปะชัญญะมีกำลังบริบูรณ์ได้นั้นก็คือทำไว้ในใจตั้งใจมั่นเจริญใน ศีล ทาน ภาวนา นั่นเอง

แนวทางเจริญของผมที่ทำให้มันเบาบางลงได้คือ

ข้ันปฏิบัติ ก. ทำสติให้เป็นกำลังไม่ประมาทแม้ยามนอน ทุกๆวันให้ตั้งใจมั่นว่า เวลาจะนอนหรือตื่นนอนเราจะไม่เสพย์หลงในราคะเมถุนเด็ดขาด แล้วทำดังนี้

1.  ก่อนนอนให้ตั้งใจมั่นว่า จะไม่ลุ่มหลงเสพย์ในราคะเมถุนเด็ดขาด แล้วสวดมนต์ก่อนนอนพร้อมทำไว้ในใจระลึกถึงคุณของ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่บุพการี ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย แล้วก็ตรึกหน่วงนึกถึงพุทโธ ภาวนาพุทโธไปเรื่อยจนหลับไปเลย

2. ถ้ามันละเมอยิกๆ เมื่อรู้ตัวให้หยุดทันทีอย่าเผลอไผลไปตามกิเลส ทำใจไว้ว่า 'จะนอน เวลานอนจะไม่ล่วงในราคะเมถุนเด็ดขาด' แล้วก็ภาวนาพุทโธจนนอนหลับต่อไป

3. ตื่นนอนรู้ตัวปุ๊บให้ตั้งใจมั่นว่า จะไม่ลุ่มหลงเสพย์ในราคะเมถุนเด็ดขาด แล้วให้ทำภาวนาตรึกหน่วงนึกถึงพุทโธปั๊บทันที ด้วยตั้งจิตมั่นถึงพระพุทธเจ้าให้เราผู้กราบไหว้ศรัทธาซึ่งพระตถาคตเป็นสรณะอยู่นี้ถึงความเป็นผู้รู้แจ้งชัดเห็นตามจริง แล้วตื่นจากสมมติไม่ลุ่มหลงอยุ่กับของปลอมอันเป็นกองทุกข์ทั้งปวง หลุดพ้นจากสมมติดับสิ้นกเลสความลุ่มหลงถึงความเป็นผู้เบิกบาน แล้วพุทโธไปเรื่อยจนถึงเวลาที่ต้องตื่นไปทำกิจการงานไรๆต่อไป

ขั้นปฏิบัติ ข. ทำสัมปะชัญญะความรู้ตัวในปัจจุบันให้แจ้ง
เวลาดำเนินชีวิตตามปกติ เมื่อเห็นใครแล้วกระสันเงี่ยน คิดไปต่างๆนาๆก็ให้รู้ว่าตนเกิดเงี่ยน แล้วให้พุทโธเรียกสติก่อนเลย ทำความสงบใจแล้วมารู้ตัวว่าที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันคืออะไร แค่ผู้หญิงผ่านไปเท่านั้น หรือเขายืน เดิน นั่งของเขาอยู่ไม่เกี่ยวกับเราเลย เรามันคิดสมมติไปเองจนเงี่ยนกระสัน 'นี่น่ะเงี่ยนเพราะคิดสมคำพระศาสดาตรัสไว้เลย' ความคิดนี้มันสมมติทั้งสิ้น ปัจจุบันก็แค่เห็นสาวเดินผ่านไปใส่เสื้ออย่างนี้กระโปรงอย่างนี้มีสีนี้ๆเท่านั้นไม่ได้มาเสพย์เมถุนกับเราเลยเราสมมติไปเองทั้งนั้นเลย
ความคิดสมมติในราคะเมถุนนี้มาจากเราให้ความสำคัญมั่นหมายของใจหมายรู้อารมณ์นี้ๆด้วยราคะเมถุนนั่นเอง เราก็สร้างความสำคัญใจใหม่โดยทำความจดจำให้เป็นปัจจุบันเสียโดย ตั้งสติเป็นเบื้องหน้าทำจิตให้รู้แค่ปัจจุบันว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ กำลังกิน ขี้ ซื้อของ เยี่ยว กำลังเขียนจด พิมพ์คีย์บอร์ด เดิน ยืน นั่ง นอน กำลังเห็นอะไรในปัจจุบัน ได้ยินอะไรในปัจจุบันเท่านั้น ไม่คิดสืบต่อจากสิ่งที่รู้เห็น ไม่ติดคิด ไม่หลงความคิด

ขั้นปฏิบัติ ค. อบรม กาย วาจา ใจ เพื่อทำความปลงใจให้ได้ โดยปุถุชนอย่างเรานี้ให้ปฏิบัติได้ดังนี้ คือ

1. ทำจิตให้ห่างจากอกุศลไปเรื่อยๆ
เมื่อเวลาจะชักว่าว ก็ให้มีสติรู้แล้วละมันไปก่อน เอาไว้เดี๋ยวค่อยทำก็ได้ เว้นทิ้งระยะเวลามันไว้ให้มันห่างๆเข้าไว้ก่อน ค่อยๆให้มันห่างๆไป ทำความเพิกเฉยต่อความอยากให้ได้ก่อน หัดฝืนใจตนบ้าง

2. กำหนดรู้โทษและทุกข์จากการชักว่าว เช่น

- สุขจากราคะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ความเงี่ยนนี้มันอิ่มไม่เป็น สุขในกาม ราคะ เมถุน มันอิ่มไม่เป็น เต็มไม่เป็นมันไม่รู้จักพอ เมื่อต้องเงี่ยนกระสันบ่อยๆเสพย์เท่าไหร่ก็พอไม่เป็นอิ่มไม่เป็น ไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วไม่อยากไปตลอดชีวิต แต่มันกลับกระสันอยากไม่รู้จบ ความเงี่ยนนี้มันเพียงแค่ติดใจเสพย์การสัมผัสทางกายเท่านั้น เมื่อความเสพย์สุขจากการสัมผัสของอวัยวะเพศจนน้ำแตกสมใจแล้ว ความสุขนั้นมันก็ไม่อยู่ได้นานใช่มั้ยครับ ไม่นานมันก็ดับสุขนั้นไปแล้ว จะขอหรือบังคับให้ความสุขและสัมผัสนั้นมันตั้งอยู่ตลอดไปไม่ต้องมาทำอีกก็ไม่ได้ จะบังคับให้มันรู้ในสัมผัสนี้ตลอดไปไม่มีเสื่อมแม้ไม่สัมผัสมันอีกก็ไม่ได้ จะบังคับให้มันอิ่มในสัมผัสนั้นไม่ต้องเสพย์อีกก็ไม่ได้ เพราะความสุขจากสัมผัสอันนั้นไม่มีตัวตนที่เราจะพึงจับต้องบังคับให้เป็นไปดั่งใจปารถนาได้ ยิ่งหวนระลึกถึงความรู้สึกที่ว่าสุขจากการสัมผัสมันนั้นก็ยิ่งกระสันไม่หยุด
แล้วอย่างนี้มันเป็นสุขหรือทุกข์เล่า จะเรียกความโสมนัสบันเทิงรื่นเริงใจจากการเสพย์เมถุนนั้นได้ไหมว่าเป็นสุขอย่างแท้จริง

สมดั่งพระศาสดาตรัสว่า ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนอยู่ได้นาน กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย ตัวรู้สัมผัสทางกายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ตัวรู้สัมผัสทางกาย สุขไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สุข  ไม่ใช่ตัวตน ความเข้าไปปารถนาในสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน เป็นทุกข์ดังนี้

- ไฟ คือ ราคะ
เวลาชักนี้เราต้องการแค่น้ำแตกเท่านั้น ความต้องการนั้นนี่มันเร่าร้อนสุมใจขนาดไหน หากยังติดใจกับสัมผัสกายที่ตรงนั้น เราก็จะร้อนรุ่มสุมใจไปไม่สิ้นสุด ยิ่งทำตามความอยากมากก็ยิ่งกระสันร้อนรุ่มสุมใจจากความเงี่ยนถี่ขึ้นไปทุกที จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา ทำให้ไฟสุมใจกระวนกระวายเร่าร้อนเพราะเงี่ยนอยู่เป็นนิตย์

สมคำพระศาสดาตรัสว่า ราคัคคิ ไฟคือราคะ

- ราคะเมถุนเป็นเหตุรวมที่เกิดแห่งโรค
ทำบ่อยๆนี้ก็เป็นโรคทั้งซิฟิลิต หนองในเทียม เชื้อราสีขาวขึ้นเต็มที่หัวเหน่าจากการสะสมของน้ำอสุจิเกิดปวด แสบร้อนที่หัวเหน่า แต่ก็ปวด ไหนจะโรคฉี่บ่อยเพราะไตทำงานหนัก ฉี่ก็ปวดแสบท่อปัสสาวะ
(โรคจากการเสพย์เมถุนนี้หาดูได้ทาง  Net Google ดูครับ น่ากลัว น่าขยะแขยงทั้งนั้น)

3. เหตุแห่งราคะ
เวลาที่คุณจะชักว่า ลองพิจารณาดูสิครับว่า ้คนที่คุณชักว่าวถึงเขานั้น เขากำลังทำอย่างว่า กำลังเสพย์เมถุนกับคุณอยู่มั้ย ก็ไม่เลย คุณคิดปรุงแต่งสมมติไปเองทั้งสิ้น เพราะเสพย์ความคิดปรุงแต่งในราคะนั้นแหละจึงทำให้เหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นจริงในขณะนั้นๆอยู่ ทำให้รู้สึกสุขที่เป็นอย่างนั้น นี่เรียกโง่ มองย้อนดูด่าตนเองได้เลยว่า ไอ้โง่ มันเสพย์เมถุนกับความคิดก็ได้ นี่มันบ้าแล้วมีสุขในการเสพย์เมถุนกับความคิดสมมติที่กิเลสสร้างขึ้นมาหลอกตนได้อยู่ตั้งนาน

ความคิดทั้งปวงล้วนสมมติทั้งสิ้น ความคิดทั้งปวงคืออุปกิเลส สมดั่งพระศาสดาตรัสว่า 'กามเกิดมาเพราะความคิด' แล้วอย่างนี้มันเป็นคุณหรือเป็นโทษเล่า

4. ปหานราคะ
เมื่อรู้ว่า กาม ราคะ เมถุน มันเกิดขึ้นเพราความคิด ดังนี้แล้วเราก็ทำใจให้ไม่ยึดความคิด เวลาที่มันคิดก็พึงรู้ไว้เลยว่า สมมติเกิดขึ้นอีกแล้ว สักแต่รู้ว่ามันเกิดขึ้นก็แค่รู้ว่าราคะเรายังมีอยู่แค่นั้นแล้วก็ไม่หลงเสพย์ไปตามความคิดให้มันสืบต่อ เมื่อเราไมร่วมไปคิดกับมัน ความคิดนั้นก็ไม่สืบต่อ มันก็ดับไป ความเร่าร้อนในราคะจึงดับตาม
การละความคิดนั้น ปุถุชนอย่างเราๆเมื่อจิตมันมักคิด เราก็คิดสวนมันด้วยกุศลให้จิตมันมีความระอา ละอายใจในความคิดนั้นไปเลย เช่น

4.1 พรหมวิหาร ๔
เขาก็อยู่ของเขาดีแล้วงดงามผ่องใสดีแล้วเราจะเอาความเงี่ยนเอาราคะไปทำให้เขาต้องมัวหมองเพราะเรามันไม่ใช่ฐานะที่สาวกของพระพุทธเจ้าจะพึงทำ

ดังนั้นละจิตอกุศลที่ทำให้เขาต้องมัวหมองนั้นๆไปเสีย มีจิตยินดีให้เขาคงความงดงามผ่องใสนั้นไว้อยู่ อย่าให้เขาต้องมามัวหมองเพราะเราเลย

4.2 ศีล
เวลาที่เราชักว่าว เราคิดถึงคนนั้นคนนี้ หากคนที่เราไปคิดถึงชักว่าวถึงอยู่นั้นเขามีสามีแล้ว หรือ เป็นลูก หลาน พี่ น้องที่รักที่หวงแหนของใครนี่เป็นความเบียดเบียนผิดศีลเลยนะ เพ่งเล็ง ปารถนา อยากได้ของผู้อื่น มีใจหมายเอาบุคคลหรือสิ่งของๆผู้อื่นมาเสพย์ มาครอบครองเป็นของตน
เมื่อเราตั้งมั่นที่จะทำเหตุให้ดี แล้วเหตุนั้นก็คือ ศีล เมื่อตั้งใจมั่นในศีลเราก็ควรละการกระทำนี้ๆไปเสียมันเป็นโทษเบียดเบียนผู้อื่นด้วยความมีใจหมายเพ่งเล็งบุคคลหรือสิ่งของิันมีค่าของผู้อื่น เรียกว่า อภิชฌา
ลองคิดดูว่าหากเขาคนนั้นเป็นเมียเรา ลูกเรา หลานเรา พี่เรา น้องเรา แล้วมีคนอื่นมาคิดอกุศลธรรมอันลามกเช่นนี้ด้วย เราก็ย่อมไม่ชอบใจใช่ไหมครับ ทั้งเกลียด กลัว ระแวง กลัวว่าเขาจะมาทำร้ายฉุดคร่าบุคคลอันเป็นที่รักเราอีกต่างหาก คนอื่นก็คงรู้สึกอย่างนี้กับเราเช่นกัน เมื่อรู้ว่าเราก็ไม่ชอบใจยินดีที่คนอื่นมาทำอย่างนี้กับบุคคลอันเป็นที่รักของเรา เราก็อย่าไปทำอย่างนั้นกับคนอื่น

4.3 มรณะสติ ลองคิดดูว่าเผลอๆหัวใจล้มเหลวตอนชักว่าวนี่ พอตายแล้วใครมาเห็นเข้าคงดังไปทั่วโลกตายเพราะเงี่ยนชักว่าว และหากตายไปพร้อมจิตที่มีราคะก็ลงนรกเป็นสัตว์นรกไปเสียได้ ดังนี้แล้วเมื่อเรามีความตายอยู่ทุกขณะ ไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน เราก็ไม่ควรประมาท ไม่ควรทำจิตให้ติดข้องในราคะ โทสะ โมหะ เป็นผู้ตั้งอยู่ใน ศีล ทาน ภาวนา อยู่ทุกขณะ ดังนี้แม้เมื่อตายไปก็ไม่ล่วงสู่อบายภูมิ

สมดั่งพระตถาคตตรัสว่า ผู้ดำรงอยู่ใน ศีล ทาน ภาวนา อยู่ทุกขณะนี้ จะได้รับความอุ่นใจ ๔ อย่าง ดังนี้

4.4 ทำปัจจุบันด้วยพุทโธ
เอาจิตมาตรึกหน่วงนึกบริกรรมพุทโธคู่ลมหายใจเข้าออกไปเรื่อย
- พุทโธ คือ พระพุทธเจ้า
- พุทโธ คือ ผู้รู้แจ้งโลก ไม่หลงสมมติกองทุกข์ รู้แจ้งชัดตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบันอันปราศจากสมมติแห่งกองทุกข์
- พุทโธ นี้คือ ปัจจุบัน

ได้สมาธิก็ด้วยพุทโธ ได้ฌาณก็ด้วยพุทโธ ละทุกข์ได้ก็ด้วยพุทโธ พ้นทุกข์ได้ก็ด้วยพุทโธ ผู้ภาวนาหน่วงนึกถึงพุทโธเป็นอารมณ์อยู่ทุกขณะ มีพุทโธเป็นลมหายใจเข้าออกนี้แม้เมื่อตายไป ก็ไม่ลงนรก ไม่ถูกหยั่งลงด้วยอบายภูมิ ต้องขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้าเป็นสัจจะจริงแท้

ลองทำดูครับอาจจะเป็นประโยชน์ต่อท่าน ถ้าเราเอาแต่อ่านหรือท่องจำอภิธรรมอย่างเดียวมันไม่เห็นหรอกครับ แบ่งปันกันไปครับแนวทางอันนี้ก็มาจาก อริยะสัจ๔ ของปุถุชนยังอาศัยคิด กับ สัญญา ๑๐ ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์นั่นแหละครับ
- กำหนดรู้โทษและทุกข์ พิจารณาหาเหตุต้นตอที่ควรละ ทำความดับทุกข์ให้แจ้งโดยอาจจะหวนระลึกถึงตอนที่เราไม่มีราคะในชีวิตที่ผ่านๆมาเวลาที่เราไม่ต้องหมกมุ่นกับมัน มันสุขไหม ขณะนั้นจิตทรงอารมณ์ยังไงอาจจะตอนเด็กก็ได้ แล้วทำเหตุในความดับทุกข์นั้นๆให้มากๆ ทำสัญญา๑๐ ให้เป็นจริตนิสัย พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้วถ้าเราเอามาน้อมใส่ตนด้วยการปฏิบัติ คือ โอปะนะยิโก ถ้าไม่ทำต่อให้พระพุทธเจ้ามาเทสนาให้ฟังทุกวันยังไงมันก็ไม่ได้อยู่ดี แต่ถ้าทำย่อมเกิดปรโยชน์แน่นอนครับ ขอให้สำเร็จประโยชน์ในธรรมครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 16, 2016, 11:57:35 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ เมษายน 14, 2024, 03:52:33 PM