เมษายน 20, 2024, 09:18:13 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สงสัยเรื่อง ทำไมต้องมีลูก  (อ่าน 14627 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ไอดอนโน
เด็กใหม่
*****

พลังความดี : 0


เพศ: ชาย
อายุ: 25
กระทู้: 1
สมาชิก ID: 3042


อีเมล์
« เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2016, 04:18:37 PM »

Permalink: สงสัยเรื่อง ทำไมต้องมีลูก
ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่า เรารักพ่อแม่ และพ่อแมดูแลเราอย่างดี และในอนาคตเราก็ตั้งใจจะเลี้ยงดู ทดแทนบุญคุณของพ่อแม่แน่นอน

แต่.. มีข้อสงสัยในเรื่องพระคุณ และความกตัญญู ดังนี้

1. ทุกวันนี้ ยังตั้งคำถามตัวเองเสมอว่า เกิดมาทำไม.. เราเกิดมาทำไม ทั้งๆที่จริงแล้วไม่ได้อยากเกิดมาเลย เราเกิดมาต้องมาทนทุกข์เรื่องนุ้น เรื่องนี้อีก

2. ต่อจากข้อ 1 ถ้ามีคนบอกว่า เกิดมาใช้กรรม เกิดมาเพราะเป็นการเวียนว่ายตายเกิด ที่นี้ เราจะเข้าสู่คำถามที่ว่า ถ้าคนเราไม่คิดอยากจะมีลูก มันก็ไม่มีทางที่จะให้กำเนิดลูกขึ้นมาได้ และเมื่อนั้นลูกก็ไม่ต้องเกิดมาได้รับกรรมต่างๆบนโลกใบนี้ (ส่วนอันนี้นอกเรื่องนิดนึง สงสัยมานาน การที่บอกว่า เวียนว่ายตายเกิดเป็นวัฐจักร แล้วทำไมประชากรโลกถึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปเอาดวงวิญญานจากไหนมาเพิ่ม หรือพวก แบคทีเรีย ไวรัส มันมีบุญมากขึ้น เลยมาเกิดเป็นมนุษย์)

3. เมื่อลูกเกิดมา สิ่งที่โดนตราบาปมาตั้งแต่เกิดเลยคือ แม่ต้องอุ้มท้องเรานะ ต้องลำบากแพ้ท้องเรา ต้องคลอดเรา เกิดมา โตมา ต้องเลี้ยงพ่อแม่นะ เอ้าา แล้วจะมีลูกทำไม ทั้งๆที่รู้ว่า มีลูกก็ต้องลำบากตั้งท้องแบบนี้

4. เหตุผลที่อยากมีลูกของพ่อแม่ คือ อะไร ต้องการให้เลี้ยงยามแก่เฒ่า? ต้องการให้เรียนเก่ง? ต้องการให้แต่งงานกับคนนู้นคนนี้? ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความเห็นแก่ตัวของมนุษย์หรือไม่ที่ยากสร้างสิ่งมีชีวิตมาใช้งานในยามแก่เฒ่า หรือต้องการให้ลูกมีชีวิตที่ตัวเองอยากให้เป็นเหมือนเป็นชีวิตที่สองของตัวเอง

5. หากเราไม่มีลูก จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ เพราะ เราไม่ต้องสร้างบาปกรรมอันใหญ่หลวงที่บอกว่า พ่อแม่ ทดแทนพระคุณเท่าไรก้ไม่หมด ลูกเราไม่ต้องลำบากกับการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ หรือถ้ามีลูกแล้วโตขึ้นลูกไม่เลี้ยงเราอาจด้วยเหตุผลไม่มีงานทำ จน หรือตายก่อนเรา เราก็ไม่ต้องมานั่งผิดหวัง ไม่ต้องมาด่าว่าลูกเราว่าเป็นลูกอกตัญญู

..ทุกคำถามที่ถามมานี้ เป็นความสงสัยส่วนบุคคล ๆม่ได้ด่าว่าร้ายใคร หรือไม่ได้ด่าคนที่มีลูกแล้ว

..หากคำถามเหล่านี้มีผู้ตอบคำถามให้เราหายสงสัยได้ จะขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

..สุดท้ายนี้ เรารักพ่อแม่มาก เราอยากเลี้ยงดูท่านยามแก่ชรา เราไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัว หรืออกตัญญูใดๆ คำถามพวกนี้เป็นเพียงข้อสงสัยเท่านั้น

ขอบพระคุณ




บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2016, 01:00:54 PM »

Permalink: สงสัยเรื่อง ทำไมต้องมีลูก


      บิดา มารดามีคุณมาก ไม่ใช่แค่เราเลี้ยงดูท่านอย่างดีแล้วจะตอบแทนคุณท่านได้ ยังต้องให้ท่านเรียนรู้ข้าถึงพระพุทธศาสนา ยังศรัทธาให้เกิดขึ้น(ศรัทธาในพระพุทธศาสนาจะคู่กับปัญญาเห้นจริง รู้จริงเห้นแจ้ง คือ สัมมาทิฐิเท่านั้น ไม่ใช่หลงเชื่อแบบโง่ๆนะครับ) มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ได้เรียนรู้ปฏิบัติใน ศีล ทาน ภาวนา อันพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้นด้วย เพื่อสะสมเหตุกุศลบารมีของท่านไว้ใช้ในภายหน้า ภพหน้า ชาติหน้าด้วย

ลองอ่านดูตามนี้ครับ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=1617&Z=1840&pagebreak=0

- ดังที่ สมจิตตวรรคที่ ๔..ผมได้คัดบางประโยคที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ..ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่
ท่านทั้ง ๒ ท่านทั้ง ๒ คือใคร คือ มารดา ๑ บิดา ๑ เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้น
ย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา ฯ



ตอบข้อที่ 1. เราทุกคนเกิดมานี้ รู้ว่ามันทุกข์ใช่ไหม พระพุทธเจ้าได้แสดงทางหลุดพ้นจากกองทุกข์การเวียนว่ายตายเกิดให้แล้ว คือ มรรคมีองค์ ๘ สุจริต ๓ มหาสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ เราเกิดมาจริงๆก็เพื่อ สะสมเหตุแห่งกุศล อบรม กาย วาจา ใจ ให้บารมี ๑๐ ทัศน์ นี้เต็ม  เพื่อถึงความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ไม่ต้องมาเกิดใหม่อีกให้ทุกข์ยากลำบากยากแค้นกับวัฏฏะสงสารนี้ๆอีก คนเราเกิดมาไม่ใช่เพื่อใช้เวรกรรมแต่เกิดมาเพื่อสร้างบารมี สัมมาสัมปทา ใน ศีล ทาน ภาวนา เพื่อให้ถึงวิราคะ วิมุตติ ตามที่ผมกล่าวไว้แล้วนั้น แต่การที่ต้องเกิดมาทุกข์ยากลำบาก ไม่มีเงิน ยากจน ไม่ได้เรียน พิการ เป็นสัตว์เดรัจฉาน ทำอะไรไม่เจริญผิดที่ผิดทางไปหมด หรือ เกิดมาแล้วสบายกายและใจได้ตามปารถนาทุกอย่าง ความไม่มีไม่ได้ไม่บังเกิดแก่ตน มีทุกอย่างปูทางไว้ดีแล้วทั้ง หน้าที่ การงาน การเงิน ครอบครัว ความรัก การเรียน อายุ วรรณะ สุขะ พละ อันนี้มาจากบุญเก่ากรรมเก่าที่เราสะสมมาเองส่งผลให้เป็นอย่างนั้นทั้งนั้น



ตอบข้อที่ 2 ไม่อยากเกิดทำไมต้องเกิดมาอีก ก็เพราะคุณทำบาปทำกรรมไว้เยอะ ทับถมมานับอสงไขยหาประมาณไม่ได้ จิตไม่เห็นไม่รู้ของจริง เหตุในศีล ทาน ภาวนาไม่มี บารมี 10 ทัศน์ไม่มี ทำให้จิตไม่ถึงความหลุดพ้น คุณก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่รู้กี่อสงไขย แม้ไม่อยากเกิดแต่เพราะบุญกรรมที่ทำทับถมใจคุณมานานนั้นแหละทำให้คุณต้องเกิดอีก แม่คุณก็คงไม่ได้อยากคุณเป็นลูก แต่บุญกรรมนำพาให้คุณมาเกิดกับพ่อแม่คุณ ต้องมี อายุ วรรณะ สุขะ พละ ตามที่บุญกรรมคุณสร้างมาแต่ปางก่อน
- แม้แต่ตัวคุณเองก็มีความกระสัน ความเงี่ยนตามธรรมชาติของสัตว์โลก ต้องผสมพันธ์ ขยายเผ่าพันธ์ ไม่ว่า สัตว์ ไม่ว่าคน ปุถุชนผู้ลุ่มหลงสมมติของปลอมอยู่ เห็นคนหล่อก็ชอบอยากได้ อยากครอบครอง อยากมีสามี อยากมีเพศสัมพันธ์ด้วยฉันใด พ่อแม่ของคุณก็ฉันนั้น จึงเรียกว่าผู้ยังกาม ยังราคะอยู่ เพราะยังตัดสมมติของปลอมที่ลุ่มหลงไม่ได้ความเงี่ยนกระสันก็บังเกิดหมดตามวัย
- ผู้ที่ไม่ต้องลงมาเกิดอีก ท่านไม่มีสิ่งนี้แล้ว ความกำเดริบกระสันเงี่ยนไม่มี เห็นกายคนก็เป็นเพียงธาตุ เห็นโลกเป้นที่ว่าง เห็นแจ้งชัดความไม่มี รู้แจ้งแทงตลอดสังขารโลก ความปรุงแต่งในโลก
- แล้วคุณล่ะ ทำได้ยัง แล้วยังมีความเงี่ยนกระสัน อยากมี SEX อยากมีแฟนไหม ยัง รัก ยังชอบ ยังชัง ยังเกลียด ยีงหลงอยู่ไหมล่ะ หากยังมีอยู่ฉันใด ตัดไม่ขาด แทงออกจากสมมติไม่ได้ ไม่เห็นโลกเป็นที่ว่างเปล่าโดยปัญญาเห็นแจ้ง สัมมาทิฐิ ไม่แจ้งชัดสังขารโลก ไม่รู้นี่สมมติของปลอม นี่ของจริง ไม่ตื่นจากความลุ่มหลงสมมติ จิตไม่ถึงความเบิกบานหลุดพ้นจากสมมติกิเลสกองทุกข์ทั้งปวง อย่างนี้ต่อให้คุณไม่อยากเกิด แต่คุณก็ต้องก็ต้องเกิด ไม่อยากทุกข์ก็ต้องทุกข์ เมื่อคุณยังมีอยู่เงี่ยนอยู่อย่างนี้คุณจะไปว่าพ่อแม่ทำให้คุณเกิดมาได้อย่างไรเล่า คุณนั่นแหละทำตนเองให้ต้องเกิด ต้องเวียนว่ายอยู่นี้
- หากไม่ได้ดินของแม่ น้ำของพ่อ กลั่นด้วยไฟของแม่ ออกมาเป็นน้ำหยดหนึ่ง เกิดเป็นก้อนตัวอ่อนของร่างกาย สร้างเป้นร่างกายรูปขันธ์ขึ้นมา ให้จิตเดิมของคุณ ที่ก่อนนี้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง สัตว์นรกมาบ้าง ไม่รู้กี่ชาติกี่อสงไขยนับไม่ถ้วนให้ได้มาจุติในกายเนื้อนี้ เพื่อจะได้เกิดมาเป็นคนได้ทำสะสมเหตุแห่งกุศล ทำเหตุให้ดี บ่มสติ สัมปะชัญญะ -> ศีล ทาน ภาวนา  -> สุจริต ๓  -> สติปัฏฐาน ๔ ให้ดี บริบูรณ์ อิ่มเต็มกำลังใจ เป็นอุปนิสัย เป็นจริตสันดาน เป็นกำไรชีวิตที่เกิดมาติดตามไปทุกๆชาติ เพื่อทำบารมี ๑๐ ทัศน์ให้เต็มจนหลุดพ้นทุกข์นี้ ป่านนี้คงไปเกิดเป็นหมาขี้เรื้อน หนอนในขี้ ไส้เดือนชอนไชขี้แล้วครับ
- ดูในพุทธประวัติสิครับ ถ้าพระตถาคตไม่ได้บิดามารดา ย่อมไม่อาจจะประสูติมาเป็นมนุษย์และตรัสรู้ธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ได้ ในชาดกพระโพธิสัตว์ต้องเกิดเป็นสัตว์บ้าง คนบ้างไม่มีรู้กี่ชาติจนนับไม่ถ้วน เกิดมาก็บำเพ็ญบารมีความดีในกุศลสะสมเรื่อยมาจนหลุดพ้นวัฏฏะสงสารแห่งทุกข์ได้

** ดังนี้แลการไม่รู้จักคุณของพ่อแม่ ไม่รู้จักความลำบากของพ่แม่ที่ให้กำเนิดเลี้ยงดู ดูแลเรามาอย่างดี ไม่ทดแทนคุณของพ่อแม่ จึงขึ้นชื่อว่า อกตัญญู อกตเวที ไม่ควรเกิดเป็นคนนั้นเทียว มีจริตสันดานของสัตว์นรกติดมาโดยแท้**



ตอบข้อที่ 3. และ ข้อที่ 4. บางครั้งท่านอาจจะไม่อยากให้คุณเกิดมาก็ได้แต่พลาดเลยเกิดคุณมา หรือ การที่ท่านตกลงใจที่จะให้กำเนิดคุณเลี้ยงคุณนั้น เพราะท่านคิดดีแล้วว่าตามกำลังที่มีอยู่จะดูแลคุณได้ ให้คุณได้สิบทอดวงษ์ตระกูลสืบไป แต่คุณกลับเกิดมาเป็นหญิงซะนี่  ให้คุณได้มาดูแลกิจการของท่าน ให้คุณเกิดมาเพื่อจะได้รู้จักความเป็นพ่อและแม่ความเมตตากรุณาดูแลเอาใจใส่ลูกหวังเพียงความสุขสำเร็จดีงามเกิดขึ้นแก่ลูก เมื่อยามแก่เฒ่าก็หวังให้ลูกมาอยู่ด้วยดูแลท่านบ้าง คอยเผาศพท่านเก็บกระถูกไว้ที่วัดเมื่อตายเพราะสายเลือดแท้ย่อมดีกว่าผู้อื่นเพราะย่อมทำด้วยความเคารพรู้คุณบิดามารดา ทำบุญกุศลอุทิศให้ นับเป็นบุญของคุณที่ท่านได้ตกลงใจจะมีบุตรจะเลี้ยงดูแลคุณตามกำลังจะมีได้ แล้วทำให้คุณได้หลุดพ้นจากการเกิดเป็นเปรต เป็นสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน หรือเทวดาที่เป็นเพียงข้าทาสบริวารเขา ต้องวิ่งตามเขาใช้ ได้เกิดมาเป็นคน ให้วิชาความรู้ ให้ได้เห็นโลก เรียนรู้โลก เข้าใจว่านี่สุข นี่ทุกข์ ได้เกิดมาเพื่อสะสมบารมีให้มียิ่งๆขึ้น ทำของเก่าให้มันดียิ่งๆขึ้น ให้เป็นบารมีหลุดพ้นทุกข์ ไม่รู้คุณนี้ ก็ทำอะไรไม่ขึ้น ..ครูผมท่านสอนว่า กตัญญูรู้คุณ กตเวทีทดแทนคุณ พ่อแม่ บุพการีไม่ได้ ชาตินี้จะไปทำอะไรได้อีก ทำอะไรก็ไม่เจริญหรอก
- สังเกตุดู นะครับว่า..พระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ท่านจะสอนให้ กตัญญู กตเวที ต่อบิดา มารดา บุพการีกันทั้งสิ้น ไม่มีเว้น

- ส่วนตัวผมมีลูกเพราะลูกคือตัวแทนความรักของผมและเมีย หวังให้ลูกได้ดีเป็นสุขกายสบายใจไม่มีภัยอันตรายใดๆมากล้ำกลาย เลี้ยงดูตนเองได้ ตั้งใจเรียนใช้วิชาชีพดูแลตนและครอบครัวของตนในภายหน้าได้ ประพฤติตนดีงามสะสมบารมีกุศล ๑๐ ทัศน์ อยู่ใน ศีล ทาน ภาวนา ได้เจอพระพุทธศาสนา สะสมบารมีธรรมไป เป็นคนดีสืบไป ไม่ต้องแทนคุณอะไรพ่อแม่มากมายแค่เป็นคนดีพ่อและแม่ก็ภูมิใจยิ่งแล้ว ไม่หวังให้ลูกมาเลี้ยงดู เมื่อลูกโตเรียนจบตั้งหลักฐานได้ เงินที่สะสมมาแม้เล็กน้อยก็จะให้ลูก แล้วผมก็ตั้งใจว่าอยากจะบวชถ้าทำได้



ตอบข้อที่ 5. ทุกอย่างล้วนเกิดแต่เหตุ หากไม่มีลูกก็ใช่ว่าเวรกรรมคุณจะไม่มี จะหายไป จะพ้นทุกข์ได้ คุณก็ยังเป็นเหมือนเดิม หากไม่ได้เกิดเป็นคน คุณก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หากไม่มีสิ่งมีชีวิตในโลก หากคุณมรกรรมมากคุณก็ต้องตกนรกเป้นเปรต เป็นสัตว์นรกอยู่นานนับอสงไขย จนกว่าจะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น คุณถึงจะได้หลุดจากนรกเพื่อเกิดมาเป้นสัตว์ หากไม่มีคนก็ได้เกิดเป็นแต่สัตว์เท่านั้นไม่มีอื่น หากคุณอยู่บนสวรรค์์ เป็นเทพธิดาบุญทำมาน้อยได้อยู่แค่แวบเดียวเหมือนได้แค่เห็นขอบสวรรค์ไม่นาน เมื่อบุญหมดก็ต้องมาใช้กรรมในนรกอีก หากในโลกไม่มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น

ลองอ่านตำนานนี้ดูครับจะเข้าใจที่ผมพูด  http://www.84000.org/anisong/01.html


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 14, 2016, 02:09:44 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2016, 01:06:23 PM »

Permalink: สงสัยเรื่อง ทำไมต้องมีลูก
คำกล่าวหรือสิ่งใดที่ผมตอบไปในกระทู้ไม่ใช่คำประชด กระแทกหรือไรๆทั้งสิ้น แต่เป็นความจริงแท้ ที่กล่าวให้คุณได้ตรึกนึกทบทวนดู เพื่อจะเป้นประโยชน์และเข้าใจได้ ในแบบภาษาบ้านๆที่ไม่ต้องแต่งคำให้สวยหรู หวังว่าท่านเจ้าของกระทู้จะเข้าใจและเห็นประโยชน์จากกระทู้ตอบผมได้บ้างนะครับ หากอ่านแล้วเอาจิตน้อมไปดูตามเหตุผลนั้นๆย่อมทำความเข้าใจได้แน่ครับ ขอให้เจริญในธรรมครับ
บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2016, 01:37:05 PM »

Permalink: สงสัยเรื่อง ทำไมต้องมีลูก
01 อานิสงส์คาถาอุณหิสสวิชัย

ในสมัยหนึ่งพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่เหนือพระแท่นศิลาอาสน์ภาย
ใต้ต้นปาริกชาติ ณ ดาวดึงสพิภพ ตรัสพระสัทธรรม เทศนา อภิธรรม 7 คัมภีร์ โปรดพุทธมารดา ใน
กาลครั้งหนึ่งนั้นมีเทพบุตรองค์หนึ่ง นามว่าสุปติฏฐิตา ได้เสวยทิพย์สมบัติอยู่ชั้นดาวดึงส์มาช้านาน ก็
อีก 7 วัน จะสิ้นบุญจุติจากดาวดึงส์ ลงไปอุบัติในนรกเสวยทุขเวทนาอยู่ตลอดแสนปี ครั้นสิ้นกรรมใน
นรกนั้นแล้วก็จะไปบังเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน 7 จำพวก เสวย วิบากกรรมอยู่ 500 ชาติ ทุก ๆ จำพวก


ยังมีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อว่า อากาสจารินี ซึ่งเป็นผู้รู้ บุรพกรรมของสุปติฏฐิตาเทพบุตร อาศัยความคุ้นเคย
สนิทสนมกลมเกลียวกันตั้งแต่ครั้งเป็นมนุษย์ เคยได้รักษาอุโบสถศีลด้วยกันในอดีตชาติล่วงมาแล้ว
มองเห็นอกุศลกรรมตามทัน จะสนองผลแก่สหายของตนก็มีจิตปรานีใคร่จะอนุเคราะห์ จึงเข้าไปสู่
สำนักของสุปติฏฐิตาเทพบุตร แล้วก็บอกเหตุที่จะสิ้นอายุภายในอันเร็ว ๆ นี้ ตลอดทั้งที่จะไปเกิดในนรก
ครั้งพ้นจากนรกแล้ว จะต้องไปกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานให้ทราบสิ้นทุกประการ ฝ่ายสุปติฏฐิตาเทพบุตร ได้
ทราบเหตุดังนั้นแล้ว ก็มีความสะดุ้งตกใจกลัว คิดปริวิตก บุพพนิมิต 4 ประการ คือ
ดอกไม้ทิพย์ร่วงโรย ประการหนึ่ง สรีระ ร่างกายมัวหมองไม่ผ่องใส ประการหนึ่ง
ผ้าทิพย์ภูษา เครื่องทรงเศร้าหมองไม่ผ่องใส ประการหนึ่ง ครั้งทรงผ้าสไบเข้าก็ร้อนกระวนกระวายไปประการหนึ่ง
บุพพนิมิตเหล่านี้ก็ปรากฏแก่สุปติฏฐิตาเทพบุตร บุพพนิมิต 4 ประการนี้
ปรากฏแก่เทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดแล้ว เทพบุตรธิดาองค์นั้น จะต้องจุติจากเทวโลกอย่างแน่นอน


เมื่อ สุปติฏฐิตาเทพบุตร ทราบชัดเจนเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่นิ่งนอนใจใคร่จะหาเครื่องป้องกัน จึงเข้าไปสู่
สำนักท้าวอเมรินทราธิราชเจ้า ถวายอภิวาทแล้วกราบทูลเหตุการณ์ให้ทรงทราบ แล้วทูลอ้อนวอนขอ
ชีวิตในสำนักอมรินทร์ โดยอเนกปริยายท้าวเธอตรัสตอบว่า ชื่อว่าความตายนี้เราเห็นผู้ใหญ่ในสรวง
สวรรค์ ก็ไม่อาจห้ามบุพพกรรมอันมีกรรมแรงนี้ได้ เราเห็นอยู่แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นที่
พึ่งของสัตว์โลกทั่ว 3 ภพ พระองค์เสด็จประทับอยู่ใต้ต้นปาริกชาติ มาเราจะพาเข้าเฝ้ากราบทูล
อาราธนา ให้พระองค์ทรงช่วยเหลือ สุปติฏฐิตาเทพบุตร ถือเครื่องสักการบูชาตามเสด็จท้าว
อมรินทราธิราช เข้าสำนักพระมหามุนีนาถพระศาสดาจารย์แล้ว กราบทูลเหตุการณ์เหล่านั้น ให้พระ
องค์ทรงทราบโดยสิ้นเชิง แล้วพระองค์ทรงแสดงบุพพกรรมของ สุปติฏฐิตาเทพบุตร องค์นี้เกิดเป็น
มนุษย์มีความเห็นผิด เป็นผู้ประมาทตั้งอยู่ในมิจฉาทิฏฐิเป็นพรานฆ่าเนื้อเบื่อปลาเป็นผู้มีใจแข็งกระด้าง
ตบตีบิดามารดาต่อสมณชีพราหมณ์ ไม่ลุกรับนิมนต์ให้อาสนะที่นั่งภิกษุสงฆ์ผู้เข้าไปสู่สำนัก แม้เห็น
แล้วก็ทำเป็นไม่เห็นเสีย ด้วยวิบากผลอกุศลกรรมอันนี้ตามทันเข้า สุปติฏฐิตาเทพบุตรจึงได้ไปเกิดใน
นรกตลอดแสนปี ครั้นพ้นจากนรกขึ้นมาก็จะไปกำเนิดแห่งสัตว์ 7 จำพวก คือเป็นแร้ง เป็นรุ้ง เป็นกา
เป็นเต่า เป็นหนู เป็นสุนัข และเป็นคนหูหนวกตาบอดอย่างละ 500 ชาติ ด้วยอำนาจอกุศลกรรมนั้น
แหละ ขอมหาบพิตรจงทราบด้วยประการฉะนี้


เมื่อท้าวอมรินทร์ทรงทราบแล้ว ก็มีความเมตตาสงสารแก่สุปติฏฐิตาเทพบุตร ยิ่งนัก จึงกราบ
ทูลให้พระองค์ทรงแสดงพระสัจธรรมเทศนาอันจะเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก ช่วยชีวิตเทพบุตรองค์นี้ไว้ไม่
ให้ตายลงภายใน 7 วันนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสเทศนาคาถาอุณหิสสวิชัย มีใจความดังต่อไปนี้

อตฺถิ อุณฺหิสฺสวิชโย ธมฺโม โลเก อนุตฺตโร สพฺพสตฺตหิตตฺถาย ตํ ตฺวํ คณฺหาหิ เทวเต ปริวชฺ
เช ราชทณฺเฑ อมนุสฺเสหิ ปาวเก พยคฺเฆ นาเค วิเสภูเต อกาลเรเณน วา สพฺพสฺมา มรณา มุตฺโต
ฐเปตุวา กาลมาริตํ ตสฺเสว อานุภาเวน โหตุ เทโว สุขี สทาสุทฺธสีลํ สมทาย ธมฺมํ สุจริตํ จเร ตสฺ
เสว อานุภาเวน โหตุ เทโว สุขี สทา ลิกฺขิตตํ ปูชํ ธารณํ วาจนํ ครุ ปเรสํ สุตฺวา ตสฺส อายุปวฑฺฒตี
ติ ฯ

เทวเต ดูกรเทวดาทั้งหลาย พระธรรมนี้ชื่อว่าอุณหิสสวิชัย เป็นยอดแห่งพระธรรมทั้งหลายเป็น
ประโยชน์แก่สัตว์ทั้งมวล ท่านจงเอาพระธรรมนี้เป็นที่พึ่ง อุตสาห์สวดบ่นสาธยายทุกเช้าค่ำ ย่อมห้าม
เสียซึ่งภัยทั้งปวง อันจะเกิดขึ้นจากผีปิศาจหมู่พยัคฆะงูใหญ่น้อย และพญาเสนาอำมาตย์ทั้งหลายจะไม่
ตาย ผู้ใดได้เขียนไว้ก็ดี ได้ฟังก็ดี ได้สวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกวันก็ดี จะมีอายุยืน เทวเต ดูกรเทวดา ทั้ง
หลายท่านจงมีความสุขเถิด

อนึ่งบุคคลผู้ใดบูชาแก้วทั้ง 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เป็นยาอันอุดม ย่อมคุ้ม
ครองผู้นั้นให้พ้นจากทุกข์ภัยพยาธิทั้งปวง ด้วยอำนาจพระอุณหิสสวิชัยนี้ จะรักษาคุ้มครองให้ชีวิตของ
ท่านเจริญสืบต่อไป ท่านจงรักษาไว้ให้มั่นอย่าให้ขาดเถิด เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาลง เทวดาทั้ง
หลายมีท้าวอมรินทร์เป็นประธานได้ดื่มรสแห่งพระสัทธรรมเป็นอันมาก ฝ่าย สุปติฏฐิตาเทพบุตร มีจิต
น้อมไปตามกระแสแห่งพระธรรมเทศนานั้น ได้กลับอัตตภาพใหม่ คือ มีกายอันผ่องใส เป็นเทวบุตร
หนุ่มคืนมาแล้วจะมีอายุยืนตลอดไปถึงพระพุทธพระนามว่า ศรีอริยเมตไตรยลงมาตรัสจึงจะจุติจากเทว
โลกลงมาสู่มนุษย์โลก เป็นพระอรหันตขีณาสวะองค์หนึ่ง ดังนั้นขอพุทธบริษัททั้งหลาย จงสำเนียกไว้
ในใจแล้วประพฤติปฏิบัติในพระคาถา อุณหิสสวิชัย ก็จะสมมโนมัยตามความปรารถนาทุกประการ

แนะนำ :-
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
จวมานสูตร

http://www.84000.org/anisong/01.html
บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #4 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2016, 01:52:58 PM »

Permalink: สงสัยเรื่อง ทำไมต้องมีลูก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
ทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย
ปฐมปัณณาสก์

            [๒๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงภูมิอสัตบุรุษและสัตบุรุษแก่
เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุทั้งหลายนั้น
ทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ภูมิอสัตบุรุษเป็นไฉน อสัตบุรุษย่อมเป็นคนอกตัญญูอกตเวที ก็ความเป็นคน
อกตัญญูอกตเวทีนี้ อสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นคน
อกตัญญูอกตเวทีนี้ เป็นภูมิอสัตบุรุษทั้งสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสัตบุรุษ
ย่อมเป็นคนกตัญญูกตเวที ก็ความเป็นคนกตัญญูกตเวทีนี้ สัตบุรุษทั้งหลาย
สรรเสริญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นคนกตัญญูกตเวทีทั้งหมดนี้เป็นภูมิ
สัตบุรุษ ฯ
             [๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่
ท่านทั้ง ๒ ท่านทั้ง ๒ คือใคร คือ มารดา ๑ บิดา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตร
พึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง
เขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้ง ๒ นั้นด้วยการอบกลิ่น
การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายอุจจาระ
ปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำอย่างนั้น
ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดิน
ใหญ่อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอัน
บุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
มารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ส่วนบุตร
คนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา ยังมารดา
บิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้
สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นใน
ปัญญาสัมปทา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้น
ย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา ฯ

**ในความหมายไม่ใช่ว่าการเลี้ยงดุบิดามารดาอย่างดีไม่ใช่ความกตัญญูกตเวทีนะครับ แต่ในอรรถนี้หมายความว่า การดูแลบิดามารให้กินดูอยู่ดี แต่ยังข้อมเสพย์สุขทางโลกเพียงส่วนเดียวอยู่นี้ยังไม่ใช่ถือว่ากตัญญูอย่างแท้จริง ความกตัญญูกตเวทีนี้ ไม่เพียงรู้คุณพ่อแม่ เลี้ยงดูทดแทนท่านอย่างดีเท่านั้น แต่ยังต้องนำพาท่านให้เกิดศรัทธาด้วยปัญญาเห็นชอบให้ดำรงอยู่ด้วย ศีล ทาน ภาวนา เพื่อทำให้ถึงพร้อมกุศลเว้นจากความเบียดเบียนและอกุศลธรรมทั้งปวง



มงคลสูตร
มงคล ที่ ๒๕  มีความกตัญญู
มงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า

คนตาบอด ย่อมมองไม่เห็นโลก
แม้ดวงอาทิตย์จะส่องสว่างอยู่ฉันใด
คนใจบอด ย่อมมองไม่เห็นพระคุณ
แม้จะได้รับความเมตตากรุณาจากผู้มีอุปการคุณฉันนั้น
 
ความกตัญญู คือ อะไร ?
            ความกตัญญู คือความรู้คุณ หมายถึงความเป็นผู้มีใจกระจ่าง มีสติปัญญาบริบูรณ์  รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นกระทำแล้วแก่ตน  ผู้ใดก็ตามที่ทำคุณแก่ตนแล้ว ไม่ว่าจะมากก็ตามน้อยก็ตาม เช่น เลี้ยงดู สั่งสอน ให้ที่พัก ให้งานทำ ฯลฯ  ย่อมระลึกถึงด้วยความซาบซึ้งอยู่เสมอ ไม่ลืมอุปการคุณนั้นเลย
            อีกนัยหนึ่ง ความกตัญญู หมายถึงความรู้บุญหรือรู้อุปการะของบุญที่ตนทำไว้แล้ว รู้ว่าที่ตนเองพ้นจากภัยอันตรายทั้งหลาย ได้ดีมีสุขอยู่ในปัจจุบัน ก็เพราะบุญทั้งหลายที่เคยทำไว้ในอดีตส่งผลให้ จึงไม่ลืมอุปการะของบุญนั้นเลย และสร้างสมบุญใหม่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
            รวมความแล้ว  กตัญญูจึงหมายถึงการรู้จักบุญคุณ  อะไรก็ตามที่เป็นบุญหรือมีคุณต่อตนแล้ว ก็ตามระลึกนึกถึงด้วยความซาบซึ้งไม่ลืมเลย คนมีกตัญญูถึงแม้จะนัยน์ตาบอดมืดทั้งสองข้าง แต่ใจของเขาใสกระจ่างยิ่งกว่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์รวมกันเสียอีก
          
สิ่งที่ควรกตัญญู
            สิ่งที่ควรแก่ความกตัญญู คือทุกสิ่งที่มีบุญแก่เรา  ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น  ๕  ประการ ได้แก่
            ๑.        กตัญญูต่อบุคคล คือใครก็ตามที่เคยมีพระคุณต่อเรา ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงไร จะต้องกตัญญูรู้คุณท่าน ติดตามระลึกถึงเสมอด้วยความซาบซึ้ง พยายามหาโอกาสตอบแทนคุณท่านให้ได้  โดยเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ บิดามารดา ครู อุปัชฌาย์อาจารย์ พระมหากษัตริย์หรือผู้ปกครอง  ที่ทรงทศพิธราชธรรม  จะต้องตามระลึกนึกถึงพระคุณของท่านให้จงหนัก
            ให้ปฏิบัติตัวให้เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์ เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติและเป็นพุทธมามกะสมชื่อ
            ๒.        กตัญญูต่อสัตว์ คือสัตว์ที่มีคุณต่อเรา เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย       ที่ใช้งาน จะต้องใช้ด้วยความกรุณาปรานี ไม่เฆี่ยนตีมันจนเหลือเกิน อย่าใช้งานหนักจนเป็นการทรมาน ขณะเดียวกันต้องเลี้ยงดูให้อาหารอย่าให้อดอยาก ให้ได้กินได้นอนได้พักผ่อนตามเวลา  ตัวอย่างในเรื่องกตัญญูต่อสัตว์นี้มีอยู่ว่า
            ในสมัยก่อนพุทธกาล วันหนึ่งพระเจ้ากรุงราชคฤห์เสด็จประพาสอุทยาน และได้บรรทมหลับในอุทยานนั้น ขณะนั้นมีงูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาและกำลังจะฉกกัดพระองค์ เผอิญมีกระแตตัวหนึ่งเห็นเข้าแล้วร้องขึ้น พระองค์จึงสะดุ้งตื่นและไล่งูให้พ้นไป ทรงระลึกถึงคุณของกระแตว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตพระองค์ไว้ จึงรับสั่งให้พระราชทานเหยื่อแก่กระแตในอุทยานนั้นทุกวัน และห้ามไม่ให้ใครทำอันตรายแก่กระแตในอุทยานนั้น คนทั้งหลายจึงเรียกอุทยานนั้นว่า เวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน แปลว่า ป่าไผ่อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต ซึ่งต่อมาก็คือ เวฬุวันมหาวิหาร วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนานั้นเอง
            ๓.        กตัญญูต่อสิ่งของ คือของสิ่งใดก็ตามที่มีคุณต่อเรา เช่นหนังสือ       ธรรมะ หนังสือเรียน สถานศึกษา วัด ต้นไม้ ป่าไม้ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการหาเลี้ยงชีพ ฯลฯ  จะต้องปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ให้ดี ไม่ลบหลู่ดูแคลน ไม่ทำลาย
            ตัวอย่างเช่น ไม้คานที่ใช้หาบของขาย เมื่อเจ้าของตั้งตัวได้ ร่ำรวย ขึ้นก็ไม่ทิ้ง ยังคิดถึงคุณของไม้คานอยู่ ถือเป็นของคู่ชีวิตช่วยเหลือตนสร้าง
ฐานะมา  จึงเลี่ยมทองเก็บไว้เป็นที่ระลึก ไว้เป็นเครื่องเตือนใจ อย่างนี้ก็มี
            มีกล่าวไว้ในเตมียชาดกว่า
            “อย่าว่าถึงคนที่เราได้พึ่งพาอาศัยกันเลย แม้แต่ต้นไม้ที่ได้อาศัยร่มเงาก็หาควรจะหักกิ่งริดก้านรานใบของมันไม่  ผู้ใดพำนักอาศัยนั่งนอนใต้ร่มเงาของต้นไม้ใดแล้ว ยังขืนหักกิ่งริดก้านรานใบ เด็ดยอด ขุดรากถากเปลือก ผู้นั้นชื่อว่าทำร้ายมิตร เป็นคนชั่วช้าเลวทราม จะมีแต่อัปมงคล เป็นเบื้องหน้า”
            ๔.        กตัญญูต่อบุญ คือรู้ว่าคนเราเกิดมามีอายุยืนยาว ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณดี สติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความสุขความเจริญ มีความก้าวหน้า มีทรัพย์สมบัติมาก ก็เนื่องมาจากผลของบุญ จะไปสวรรค์กระทั่งไปนิพพานได้  ก็ด้วยบุญ กล่าวได้ว่า ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยบุญ ทั้งบุญเก่าที่ได้สั่งสมมาดีแล้ว และบุญใหม่ที่เพียรสร้างขึ้นประกอบกัน จึงมีความรู้คุณของบุญ มีความอ่อนน้อมในตัว ไม่ดูถูกบุญ ตามระลึกถึงบุญเก่าให้จิตใจชุ่มชื่น และไม่ประมาทในการสร้างบุญใหม่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
            ๕.        กตัญญูต่อตนเอง คือรู้ว่าร่างกายของเรานี้เป็นอุปกรณ์สำคัญที่เราจะใช้อาศัยในการทำความดี ใช้ในการสร้างบุญกุศลนานาประการ เพื่อความสุขความเจริญก้าวหน้าแก่ตนเอง จึงทะนุถนอมดูแลร่างกาย รักษาสุขภาพให้ดี  ไม่ทำลายด้วยการกินเหล้า เสพสิ่งเสพย์ติด  เที่ยวเตร่ดึกๆ ดื่นๆ  และไม่นำร่างกายนี้ไปประกอบความชั่ว เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เจ้าชู้ อันเป็นการทำลายตนเอง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 15, 2016, 02:28:51 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
เกียรติคุณ
ผู้ปฏิบัติธรรม
*****

พลังความดี : 65


เพศ: ชาย
อายุ: 46
กระทู้: 958
สมาชิก ID: 841


« ตอบ #5 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2016, 02:04:00 PM »

Permalink: สงสัยเรื่อง ทำไมต้องมีลูก
ความกตัญญูจำเป็นอย่างไร
ในการสร้างความดี ?


           การที่คนเราจะมีความคิดใฝ่ดี ตั้งใจทำความดีสร้างสมคุณธรรมให้เกิดขึ้นในตัว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ที่ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ ทำอย่างไรจึงจะ  รักษาความตั้งใจที่ดีนั้นไว้ โดยไม่ท้อถอยไม่เลิกกลางคัน เพราะในการทำความดีย่อมมีอุปสรรค มีปัญหาขัดขวางมากมาย ไหนจะปัญหาภายนอกจากคนรอบข้าง จากสิ่งแวดล้อม ไหนจะปัญหาภายในจากกิเลสรุมล้อมประดังกันเข้ามา เราจะเอาตัวรอด ยืนหยัดสู้ปัญหาทั้งหลายที่เข้ามาผจญได้โดยไม่ท้อถอย ก็ต้องมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวใจไว้  นั่นคือความกตัญญู
            ไปโรงเรียน เรียนหนังสือ แม้จะยากแสนยาก ท้อถอยจะเลิกเสียก็หลายครั้ง เพื่อนฝูงบางคนชวนไปเที่ยวเตร่เฮฮา ดูน่าสนุกกว่ามาก แต่เมื่อนึกถึงคุณพ่อคุณแม่ คิดว่าท่านอุตส่าห์ทะนุถนอมเลี้ยงดูเรามาจนเติบใหญ่ ลำบากลำบนในการทำมาหากิน เพื่อส่งเสียให้เราได้เล่าเรียน ท่านฝากความหวังไว้กับตัวเรา อยากเห็นตัวเราได้ดีมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต พอคิดได้เท่านี้ ความกตัญญูก็จะเกิดขึ้นมีแรงสู้มีกำลังใจ แม้จะยากแสนยาก แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อย ก็กัดฟันสู้มุมานะ  ตั้งใจเรียนให้ดีให้ได้ ไม่ยอมประพฤติตัวไปในทางเสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล ให้คุณพ่อคุณแม่ครูบาอาจารย์ได้อายโดยเด็ดขาด
            แม้ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม  ผู้ตั้งใจจะทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา   แน่นอนว่าในการทำงานนั้น จะต้องมีการกระทบกระทั่งกัน คนเราหลายคนก็หลายความเห็น  ต่างคนก็ต่างตั้งใจดีกันทั้งนั้น  แต่ความคิดความอ่านความสามารถอาจไม่เท่ากัน และบางครั้งก็เกิดทิฏฐิมานะ คิดไปว่า “ถึงแกจะหนึ่งแต่ฉันก็แน่เหมือนกัน” ทำให้ไม่ยอมกัน ที่เป็นเช่นนี้ เพราะต่างก็กำลังฝึกฝนตนเองอยู่ กิเลสในตัวก็ยังมี ยังไม่ได้หมดไป ดังนั้นถ้าไม่รู้จักควบคุมให้ดี จึงมีโอกาสขัดใจกันได้ หรือบางทีออกไปทำงานเผยแผ่ธรรมะ ก็พบกับคนที่ยังไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วย  พูดนินทาว่าร้าย  เยาะเย้ยถากถางเอาบ้าง เพราะเหตุนี้จึงมีนักปฏิบัติธรรม นักเผยแผ่ธรรมะ รวมทั้งผู้ที่ตั้งใจทำงานเพื่อสังคมส่วนรวมหลายๆ คน  เบื่อหน่ายท้อถอย  และเลิกราไปกลางคันอย่างน่าเสียดาย
            แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีความกตัญญูเป็นพื้นใจแล้ว เมื่อความท้อถอย ความเบื่อหน่ายเอือมระอาเกิดขึ้น เพียงแต่นึกว่า ที่ตัวเราได้มีโอกาสเรียนรู้ธรรมะ รู้การสร้างบุญกุศล  รู้วิธีการดำเนินชีวิตอันประเสริฐ  รู้บุญรู้บาปอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงเสียสละอุทิศชีวิตทุ่มเทค้นคว้าจนตรัสรู้หลักอริยสัจจ์ คือความจริงอันประเสริฐทั้งหลายมาสอนเรา เมื่อคิดถึงชีวิต เลือดเนื้อ ความเพียรพยายามที่พระองค์ได้ทรงทุ่มเทลงไป ตลอดระยะเวลาที่ทรงบำเพ็ญบารมีอยู่นานถึง 20 อสงไขยกับแสนกัปป์ ว่ามากมายมหาศาลเพียงใด (เวลากัปป์หนึ่งอุปมาได้กับมีภูเขาหินรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์  กว้าง ๑๖ กิโลเมตร  ยาว ๑๖ กิโลเมตร  สูง ๑๖ กิโลเมตร  ทุก ๑๐๐ ปี มีเทวดาเอาผ้าทิพย์บางเบา มาลูบครั้งหนึ่ง เมื่อใดภูเขาลูกนี้สึกหมด เรียบเสมอพื้นดิน ระยะเวลานั้นเท่ากับกัปป์หนึ่ง ; ๑ อสงไขย = ๑๐๑๔๐  คือจำนวนที่มีเลข ๑ และมีเลข ๐ ต่อท้าย ๑๔๐ ตัว) ตลอดจนคิดถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านอุตส่าห์ถ่ายทอดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อๆ กันมา  และอบรมสั่งสอนให้เราได้ทราบได้รู้ถึงคำสอนของพระองค์ โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก คิดเพียงเท่านี้ ความท้อถอยก็หาย ความเหนื่อยหน่ายก็คลาย แม้ความตายก็ไม่หวั่น เกิดกำลังใจที่จะทำความดีต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
            ความกตัญญูจึงเป็นคุณธรรมที่สำคัญยิ่ง ที่จะประคองใจของเราให้ดำรงมั่นอยู่ในคุณธรรมอันยิ่งๆ ขึ้นไป
 
อานิสงส์การมีความกตัญญู
            ๑.        ทำให้รักษาคุณความดีเดิมไว้ได้
            ๒.        ทำให้สร้างคุณความดีใหม่เพิ่มได้อีก
            ๓.        ทำให้เกิดสติ ไม่ประมาท
            ๔.        ทำให้เกิดหิริโอตตัปปะ
            ๕.        ทำให้เกิดขันติ
            ๖.        ทำให้จิตใจผ่องใส มองโลกในแง่ดี
            ๗.        ทำให้เป็นที่สรรเสริญของคนดี
            ๘.        ทำให้มีคนอยากคบหาสมาคม
            ๙.        ทำให้ทั้งมนุษย์และเทวดาอยากช่วยเหลือ
            ๑๐.      ทำให้ไม่มีเวรไม่มีภัย
            ๑๑.      ทำให้ลาภผลทั้งหลายเกิดขึ้นโดยง่าย
            ๑๒.     ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย
                                    ฯลฯ
 
“บุคคลผู้อกตัญญู ย่อมถึงอนิฏฐผล
มีนินทาเป็นต้น
ส่วนบุคคลผู้กตัญญู แม้พระศาสดา ก็ทรงสรรเสริญ”
มังคลัตถทีปนี ภาค ๒ ข้อ ๓๗๘ หน้า ๓๙๓
 
หนังสือมงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า
 โดย พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 15, 2016, 02:16:48 PM โดย เกียรติคุณ » บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ มีนาคม 04, 2024, 07:01:55 AM