ขอยกคำพระพุทธเจ้ามาเถียงครับท่านตรัสว่าไม่ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ก็ตามมันจะส่งผลไม่ช้าก็เร็วครับขึ้นอยู่ว่ากรรมอันไหนมันหนักกว่า
เช่นทำกรรมดีไว้เยอะในอดีตชาติมันอาจจะส่งผลก่อนจากนั้นกรรมเลวมันจะรอต่อคิวสลับกันไปมา
ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือ กรรมอันบุคคล
กระทำแล้วด้วยโลภะ เกิดจากโลภะ มีโลภะเป็นเหตุ
มีโลภะเป็นสมุทัย อันใด ; กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลใน
ขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพของบุคคลนั้น.
กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด
เขาย่อมเสวยวิบากแห่ง
กรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นไปอย่างใน
ทิฏฐธรรม (คือทันควัน) หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปปัชชะ
(คือในเวลาต่อมา) หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ (คือ
ในเวลาต่อมาอีก) ก็ตาม.กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโทสะ เกิดจาก
โทสะ มีโทสะเป็นเหตุ มีโทสะเป็นสมุทัย อันใด ;
กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลายอันเป็นที่บังเกิด
แก่อัตตภาพของบุคคลนั้น. กรรมนั้น ให้ผลในอัตตภาพใด
เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง ไม่ว่า
จะเป็นไปอย่างในทิฏฐธรรม หรือว่า เป็นไปอย่างใน
อุปปัชชะ หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ ก็ตาม.
กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโมหะ เกิดจาก
โมหะ มีโมหะเป็นเหตุ มีโมหะเป็นสมุทัยอันใด ; กรรม
อันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นที่บังเกิด
แก่อัตตภาพของบุคคลนั้น. กรรมนั้น ให้ผลในอัตตภาพใด
เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง ไม่ว่า
จะเป็นไปอย่างในทิฏฐธรรม หรือว่า เป็นไปอย่างใน
อุปปัชชะ หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ ก็ตาม.
ภิกษุ ท. ! เหตุทั้งหลาย ๓ ประการ เหล่านี้แล
เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย
ที่มา
http://www.dhampaidai.blogspot.com/2011/09/blog-post_2707.html