เมษายน 19, 2024, 10:45:42 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กฏแห่งกรรม ที่เห็นกับตา  (อ่าน 14417 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เด็กหน้าวัด
เด็กใหม่
นักบุญผู้ใจดี
*****

พลังความดี : 696


เพศ: ชาย
กระทู้: 13280
สมาชิก ID: 1


« เมื่อ: กันยายน 30, 2010, 09:39:26 PM »

Permalink: กฏแห่งกรรม ที่เห็นกับตา
ผมได้ดูรายการทีวีประเภท กรรมลิขิต หรือกฏแห่งกรรม แล้วนึกได้ว่าในชีวิตจริงที่ผ่านมาเกือบ 50 ปี ได้เห็นกฏแห่งกรรมที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว
ทั้งยังได้รู้เห็นในเรื่องนั้นๆ จริงๆ หลายเรื่อง เลยอยากเล่าให้คนอื่นได้ฟังกันบ้าง เพื่อเป็นอุธาหรณ์

เรื่องแรกนี้เป็นเรื่องของลุงผมเอง ชื่อ ลุงวินัย (นามสมมติ)

ลุงของผม เป็นหมอฝ่ายบริหาร มีตำแหน่งสุดท้ายเป็นถึงรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำจังหวัด ทางภาคตะวันออก จังหวัดใหญ๋ที่มีนิคมอุตสาหกรรมด้วยนะแหละ
ลุงเป็นคนเก่งมาก ไต่เต้ามาจากการเป็นทหารเกณฑ์ หน่วยเสนารักษ์ เมื่อครบเกณฑ์แล้วก็ขอเรียนต่อทางการแพทย์ จนกระทั่งได้ออกมารับราชการเป็นแพทย์ที่ชลบุรี

ต่อมาได้พบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาก็คือป้าของผมเองชื่อป้าแจ่ม (นามสมมติ) และอีกไม่กี่ปีได้ย้ายไปประจำที่จังหวัดใหญ่ขึ้น
ทั้งคู่ได้ย้ายไปซื้อบ้านในจังหวัดนั้น จนกระทั้งปัจจุบันนี้
ที่บ้านหลังนี้เมื่อประมาณเกือบ 50 ปีก่อนยังค่อนข้างกันดารมาก
ลุงผมได้เปิดคลีนิคเล็กๆ ที่บ้านด้วย ซึ่งดูเหมือนเป็นรายได้ที่ดีมากทีเดียว
และยังได้รับการนับถือจากคนแถวนั้นมากทีเดียว

ลุงหมอวินัยมีลูกชายคนเดียว ชื่อต้น (นามสมมติ)
ลุงวินัย และป้าแจ่ม มีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวมาก ด้วยความที่เคยจนยากมาก่อน
ผิดกับ ต้น ลูกชาย ซึ่งเกิดมาขณะที่พ่อแม่มีฐานะดีแล้ว ออกแนวเกเร ฟุ่มเฟือยเอาแต่ใจตามประสาลูกโทน

ตลอดเวลาที่รับราชการเป็นหมอใน รพ.ดังกล่าว ลุงวินัย มักจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก เช่น เบิกค่าเช่าบ้าน ทั้งๆที่อยู่บ้านตัวเองแท้ๆ ซึ่งเป็นการโกงหลวงอย่างหนึ่ง
หรือเรื่องเกี่ยวกับการประมูลงานหลวงบางอย่างไม่ค่อยถูกต้อง แต่ตำแหน่งงานการก็ก้าวหน้าดีตลอดเวลา

ส่วนต้น ลูกชายหมอวินัย นั้นเรียนจบจากร.ร.มัธยมที่แพงที่สุดในจังหวัด ได้อย่างทุลักทุเลเต็มทน เพราะเกเรมาก
ต่อมาก็มาเรียนที่กรุงเทพฯ เป็นร.ร.ช่างกลแถวบางแค
ก็ไม่รู้เพราะกรรมที่หมอวินัยทำลงไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้ลูกชายไปคบเพื่อนไม่ดี กินเหล้า สูบกัญชากันจนเมามาย
ต่อมาไม่นานได้ไปปล้นผู้โดยสารบนรถเมล์ กลางวันแสกๆ จนกระทั่งถูกตำรวจตามจับได้ และส่งฝากขังที่คุกคลองเปรม
หมอวินัย และป้าแจ่ม เสียใจและทุกข์ใจอย่างมาก
ซึ่งผมก็เพิ่งเข้าใจที่ว่าลูกติดคุก ก็เท่ากับพ่อแม่ติดคุกด้วยว่าเป็นอย่างไร
ลุงและป้าผมร้องไห้ทุกวัน วิ่งเต้นทุกวิถีทาง เวลาไปเยี่ยมลูกที่คุก ผมเห็นลุงกับป้าผมทุกข์ทรมานยิ่งกว่าลูกชายเขาอีก
เมื่อหมดเวลาเยี่ยม ลุงหมอวินัยก็ยังไม่ยอมกลับ ยืนมองดูกำแพงคุกจนกระทั่งค่ำถึงจะยอมกลับทุกครั้งไป

กว่าลูกชายจะหลุดคดีได้ ก็ประมาณหลายเดือนแต่มันดูเหมือนเป็นปีๆ ทีเดียว เสียเงินทองไปมากมาย
ซึ่งเมื่อรอดคุกมาแล้ว ต้น ก็ทำตัวดีขึ้นในระยะแรกๆ ต่อมาก็กินเหล้า เมายาตามเคย หมอวินัยต้องเอาตัวไปรักษาเรื่องยาเสพติดหลายครั้ง
ผมเคยได้ยินลุงหมอวินัยเล่าให้แม่ผมฟังว่า ใช้วิธีถ่ายเลือดทั้งตัว เอาเลือดเดิมออกขณะที่เอาเลือดใหม่ใส่เข้าไปแทน แปลกดี.....

ต่อมา ต้น ก็ได้เมียคนหนึ่ง ซึ่งไม่น่าเชื่อเลย เธอคนนั้นเป็นคนดีมากๆ สงบเสงี่ยมน่ารัก แต่มีนิสัยกลัวสามี เพราะมักจะโดนซ้อมเมื่อเมาเหล้าเป็นประจำ
และมีลูกสาว 2 คน ก็เป็นเด็กดีมาก และเป็นที่รักของ หมอวินัยกับป้าแจ่มอย่างมาก

เวลาผ่านมาอีกหลายปี หมอวินัยก็เจริญเติบโตในหน้าที่การงานอย่างดี นับได้ว่ามีความสุขกับการงาน และหลานสาวทั้งสองมาก
แต่ก็มีกรรมที่ทุกข์ใจเรื่องลูกชายต้วเองมากเหมือนกัน
จำได้ว่า ลุงหมอวินัย ได้ใช้เส้นสายจนกระทั่งลูกชาย-ลูกสะใภ้ได้เข้าทำงานใน รพ.อยู่ด้วยกัน

จนกระทั่ง หมอวินัยได้เป็นถึง รองผู้อำนวยการ รพ. เป็นฝ่ายบริหารใหญ่มาก และมีหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ เซ็นอนุญาตให้นำศพผู้เสียชีวิตออกไปจาก รพ.ได้
ซึ่งจังหวัดนี้ มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีคนงานเสียชีวิต จากอุบัติเหตุและโรคภัยมากมาย
แต่ศพคนงานหรือใครที่ตายต้องได้รับการอนุญาติจากหมอวินัยก่อน จึงจะนำออกจาก รพ.ได้
ซึ่งแต่เดิมก็มีคนเอารถมารับจ้างนำศพไปส่งให้ที่วัดหรือบ้านอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องแบบนี้บอกได้เลยว่ามีคนรับจ้างอยู่ทุก รพ.แหละครับ

แต่หมอวินัยมองเห็นโอกาส จึงให้ลูกชายและญาติอีกคนทำกิจการรับจ้างรับส่งศพเสียเอง โดยกีดกันไม่ให้คนอื่นได้ประโยชน์จากตรงนี้ และได้เรียกค่าขนส่งแพงมาก .....
ศพหลายรายเป็นคนงานที่อยู่ต่างจังหวัด ทางอีสานเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งค่ารถส่งศพต่อครั้งหลายพัน หรือเกือบหมื่น ซึ่งสร้างรายได้ พร้อมคำสาปแช่งมากมาย.........
ญาติพี่น้อง ลูกเมียของคนที่ตายก็ทุกข์ใจแสนสาหัสแล้ว ยังมาถูกขูดรีดค่าส่งศพกลับบ้านอีก ถ้าไม่ให้ก็ไม่ต้องเอาศพออกไป......
หมอวินัย กับลูกชายกลับยินดีในกิจการนี้มาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าตักเตือนตรงๆ เพราะตำแหน่งใหญ่ สามารถให้คุณให้โทษใครก็ได้

ผ่านไปประมาณ 2 ปี ด้วยความที่รายได้ดี ทำให้ ต้นลูกชายหมอวินัย และญาติที่ช่วยกันทำงานนี้ ร่ำรวยขึ้นจนมีเงินกินเหล้าเมายา
แถมยังมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาอีก ทำให้อยู่ไม่ติดบ้าน เพราะติดผู้หญิง
มีเรื่องทะเลาะกันในครอบครัวเป็นประจำ สร้างความกลุ้มใจให้หมอวินัยกับป้าแจ่มอย่างมาก
วันหนึ่ง ต้นซึ่งเมากลับจากบ้านเมียน้อย ขี่รถมอเตอร์ไซค์ล้มหัวฟาดเสาไฟฟ้าอย่างแรง อาการหนักมาก สมองเสียหายไปบางส่วน
หมอวินัยได้ส่งลูกชายคนเดียวเข้าผ่าตัดที่ รพ.ที่ตนเองอยู่ แต่ความเสียหายของสมองมากจนต้องผ่าตัดหลายครั้ง สุดท้ายรอดมาได้.......

แต่หลังจากอยู่ห้อง I.C.U.หลายเดือน เมื่อฟื้นขึ้นมามีอาการเหมือนคนปัญญาอ่อน ไม่สามารถช่วยตัวเองได้
ต้องป้อนข้าว ป้อนน้ำ เช็ดอึ เช็ดฉี่ เหมือนเด็กแรกเกิดอีกหน

รักษาอยู่หลายปี ก็ค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิดๆ ค่อยๆพูดได้อ้อๆแอ้ๆ แต่จำความไม่ได้ จำใครก็ไม่ได้เลย แม้แต่ลูกเมีย
หมอวินัย กับป้าแจ่มนั้น มีแต่ความทุกข์ใจแสนสาหัสที่ลูกชายคนเดียวมาเป็นอย่างนี้ ส่วนลูกสะใภ้ก็หนีกลับไปอยู่กับพ่อ-แม่ตามเดิม เพราะทนรับสภาพไม่ไหว
สุดท้ายการงานที่เคยรุ่งเรืองก็เริ่มมีปัญหา เพราะมัวแต่ไปรักษาลูก
คนที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชา ก็แฉเรื่องทุจริตในอดีตหลายเรื่อง จนต้องลาออกมากินบำนาญอยู่บ้าน
รายได้หดหาย มีแต่รายจ่าย มีแต่ความทุกข์ ซึ่งกลับมากขึ้นเพราะเมื่อต้นลูกชายค่อยๆ หายดีขึ้น ถึงจะจำใครไม่ได้ แต่อาละวาดจะกินเหล้าให้ได้
ต้องให้ยาระงับประสาทอย่างแรงกินทุกวัน ๆ
กินยาระงับประสาทเป็นปีๆ จนกระทั่งมีอาการเซื่องซึมตลอดเวลา ถ้าไม่ให้กินยา ก็อาละวาดจะกินเหล้าอยู่ตลอด
เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ทุกวันๆ เป็นเดือน เป็นปี จน 10 กว่าปี หมอวินัยก็แก่ลงมาก ร่างกายทรุดโทรม เพราะความทุกข์ใจ
จนต่อมากลายเป็นโรคตับเรื้อรัง ต้องเข้าออก รพ.ที่เคยทำงานหลายครั้ง
ส่วนป้าแจ่มซึ่งก็มีความทุกข์ใจไม่ต่างกัน แต่ยังแข็งแรง คอยสู้กับลูกชายยามที่อาละวาดทุกครั้ง

อยู่ต่อมาอีกไม่นาน หมอวินัย ก็มีอาการแปลกๆ เพิ่มขึ้นอีก คือมีอาการซึมเศร้า ไม่พูดไม่จา นอนนิ่งๆ ไม่อยากพบใคร ไม่สนใจอะไรอีก ซึ่งสร้างความทุกข์ใจให้ป้าแจ่มอย่างมาก
จนในที่สุด.....ป้าแจ่มมีอาการความจำเสื่อม จำได้บ้างไม่ได้บ้าง นั่งยิ้มอารมณ์ดีทั้งวัน ...
แต่ก็ยังหุงข้าวหาปลาไปป้อน หมอวินัย และลูกชายได้

ปัจจุบันนี้ ( 27 กันยายน 2553 ) ที่บ้านหมอวินัย มีสภาพคือ มีหมอวินัยที่นอนซึมเศร้าไม่พูดไม่จา มีป้าแจ่มที่ความจำเสื่อมแต่นั่งยิ้มแย้มทั้งวัน และมี ต้น ที่แข็งแรงขึ้น แต่ความจำที่ไม่ประติดประต่อ จำได้บ้างไม่ได้บ้าง และยังอาละวาดเวลาอยากกินเหล้า..........แต่ยังอยู่กันได้ด้วยเงินบำนาญ ซึ่งหลานสาวที่ขณะนี้ก็เป็นสาวแล้วดูแลอย่างทุกข์ทนเต็มที

เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้เห็นกับตาผมถึงกฏแห่งกรรม ที่น่ากลัวมากจริงๆ
หวังว่าท่านที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว เกิดความกลัวบาป ก็จะเป็นบุญกุศลให้ครอบครัวหมอวินัย ให้ได้ผ่อนโทษจากบาปเคราะห์นี้บ้างเถิด....


ที่มา http://board.palungjit.com




บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


บทความและไฟล์ภาพ ในเว็บไซต์แห่งนี้อาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ทีมงานคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ โดยที่เราจะให้เครดิตทุกครั้งที่นำมา หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumcomputer@hotmail.com ทางทีมงานจะได้นำบทความนั้นออกทันที ขอบคุณครับ


เว็บนี้จัดทำโดย นายสุรัตน์ ศรลัมภ์ และครอบครัว อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้มีพระคุณ

HTML Hit Counters
Powered by SMF 1.1.17 | Simple Machines|Copyright © 20010 BY : thammaonline.com
บทความธรรมะรวมเรื่องกฏแห่งกรรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐานพลังจิตกระดานถาม-ตอบ Sitemap

Google มาเยี่ยมเว็บเมื่อ มีนาคม 12, 2024, 08:13:50 AM