ท่านพระปิลินทวัจฉะจึงถามสตรีผู้ทำงานวัดคนนั้นว่า เด็กหญิงคนนี้ร้องอ้อนอยากได้ อะไร?
นางกราบเรียนว่า ท่านเจ้าข้า เด็กหญิงคนนี้เห็นเด็กๆ พวกอื่นตกแต่งกายประดับดอกไม้ จึงร้องอ้อนขอดอกไม้ ดิฉันบอกว่า เราเป็นคนจนจะได้ดอกไม้มาจากไหน จะได้เครื่องตกแต่งมาจากไหน
ท่านพระปิลินทวัจฉะจึงหยิบขดหญ้าพวงหนึ่งส่งให้นางผู้เป็นแม่เด็กหญิงนั้นแล้วกล่าวว่า เจ้าจงสวมขดหญ้าพวงนี้ลงบนศีรษะเด็กหญิงนั้น ครั้นเมื่อนางได้รับขดหญ้าจึงสวมลงที่ศีรษะเด็กหญิงนั้น ทันใดนั้นขดหญ้านั้นได้กลายเป็นมาลาดอกไม้ทองคำงามมาก น่าดู น่าชม มาลาดอกไม้ทองคำเช่นนั้น แม้ในพระราชฐานก็ไม่มี
คนทั้งหลายกราบทูลแด่พระเจ้าพิมพิสารว่า ขอเดชะ มาลาดอกไม้ทองคำที่เรือนของคนทำงานวัดที่หมู่บ้านปิลินทวัจฉะงามมาก น่าดู น่าชม แม้ในพระราชฐานก็ไม่มี เขาเป็นคนเข็ญใจจะได้มาแต่ไหน เป็นต้องได้มาด้วยโจรกรรมแน่นอน
พระเจ้าพิมพิสารจึงสั่งให้จองจำตระกูลคนทำงานวัดนั้น
ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้น ท่านพระปิลินทวัจฉะครองอันตรวาสกแล้วถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาต ถึงตำบลบ้านปิลินทวัจฉะ เมื่อเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกในตำบลบ้านปิลินทวัจฉะได้เดิน ผ่านไปทางเรือนคนทำงานวัดผู้นั้น ครั้นแล้วได้ถามคนที่คุ้นเคยกันว่า ตระกูลคนทำงานวัดนี้ไป ไหนเสีย?
คนพวกนั้นกราบเรียนว่า เขาถูกรับสั่งให้จองจำ เพราะเรื่องมาลาดอกไม้ทองคำ เจ้าข้า.
ท่านพระปิลินทวัจฉะทราบดังนั้นจึงได้เข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ นั่งเหนืออาสนะที่เขาจัดถวาย
ขณะนั้น พระเจ้าพิมพิสาร เสด็จเข้าไปหาท่านพระปิลินทวัจฉะ ทรง อภิวาทแล้วประทับเหนือพระราชอาสน์อันควรส่วนข้างหนึ่ง
ท่านพระปิลินทวัจฉะได้ทูลถามพระเจ้าพิมพิสารว่า ขอถวายพระพร ตระกูลคนทำงานวัดถูกรับสั่งให้จองจำด้วยเรื่องอะไร?
พระเจ้าพิมพิสารตรัสตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า เพราะที่เรือนของเขามีมาลาดอกไม้ทองคำอย่างงามมาก น่าดู น่าชม แม้ที่ในวังก็ยังไม่มี เขาเป็นคนจนจะได้มาแต่ไหน เป็นต้องได้มาด้วยโจรกรรมอย่างแน่นอน
ท่านพระปิลินทวัจฉะจึงได้อธิษฐานปราสาทของพระเจ้าพิมพิสารว่า จงเป็นทอง บัดนั้นปราสาททั้งหลังก็ได้กลายเป็นทองไปทั้งหมด แล้วได้ถวายพระพรถามว่า ขอถวาย พระพร ก็นี่ทองมากมายเท่านั้นมหาบพิตรได้มาแต่ไหน?
พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่า ข้าพเจ้าทราบแล้ว นี้เป็นอิทธานุภาพของพระคุณเจ้า ดังนี้ แล้วรับสั่งให้ปล่อยตระกูลคนทำงานวัดนั้นพ้นพระราชอาญาไป.
พระพุทธานุญาตเภสัช ๕
เหล่ามหาชนเมื่อทราบข่าวว่า ท่านพระปิลินทวัจฉะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ อันเป็นธรรมยวดยิ่งของมนุษย์ ต่อพระเจ้าพิมพิสาร ต่างพากันยินดี เลื่อมใสยิ่ง นำเภสัช ๕ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย มาถวายท่านพระปิลินทวัจฉะ ซึ่งแม้ตามปกติท่านก็ได้เภสัช ๕ อยู่เสมอแล้ว ท่านจึงแบ่งเภสัชที่ได้มาถวายแก่ภิกษุผู้เป็นบริษัททั้งหลาย แต่บริษัทของท่านเป็นผู้มักมาก เก็บเภสัชที่ได้ๆ มาไว้ในกระถางบ้าง ในหม้อน้ำบ้าง จนเต็ม บรรจุลงในหม้อกรองน้ำบ้าง ในถุงย่ามบ้าง จนเต็มแล้ว แขวนไว้ที่หน้าต่าง เภสัชเหล่านั้นก็เยิ้มซึม แม้สัตว์จำพวกหนูก็เกลื่อนกล่นไปทั่ววิหาร คนทั้งหลายเดินเที่ยวชมไปตามวิหารพบเข้า ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน
ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลายจึงได้พอใจในความมักมากเช่นนี้ แล้ว กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุทั้งหลาย พอใจในความมักมากเช่นนี้ จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงติเตียนแล้วทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุ ทั้งหลายว่า อนึ่ง มีเภสัชอันควรลิ้มของภิกษุผู้อาพาธ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ภิกษุรับประเคนของนั้นแล้ว พึงเก็บไว้ฉันได้ ๗ วันเป็นอย่างยิ่ง ภิกษุให้ล่วงกำหนดนั้นไป พึงปรับอาบัติตามธรรม.
ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk-great-index-page.htm