ฝึกหัดทำวสีสมาธิโดยทำนิพพิทา ความปลงใจในโลก
การฝึกวสีต้องเริ่มจากทำไว้ในใจให้เป็น นักกรรมฐานที่ท่านได้วสีฌาณ ท่านจะรู้ดีว่าไม่ใช่ท่านไปตั้งทำเอาจุดนั้นจุดนี้เป็นเท่านั้น *..แต่ลำดับแรกก่อนที่ท่านจะไปตั้งหน่วงนึกเข้าตามจุดพักลมหายใจหรือนิมิตเหล่าใดได้ ท่านต้องทำไว้ในใจตัดละทิ้งจากสภาวะธรรมอารมณ์ไรๆที่เป็นอยู่ในปัจจุบันขณะนั้นๆไปได้ก่อน(ปลงใจจากอารมณ์ปัจจุบันที่เป็นอยู่ได้) แล้วก็ทำไว้ในใจเข้าไปในสภาวะที่จะทำ แล้วกำหนดจุดที่เป็นวสีของท่านเป็นที่ตั้งหน่วงนึกเข้าสภาวะของจิต
..เช่น ตัดใจละความยึดความติดใคร่ลุ่มหลงในโลกแม้ขันธ์ ๕ ที่ตนอาศัยอยู่ทิ้งไปเสียให้ได้ก่อน แล้วเอาจิตน้อมตั้งมั่นเข้าจับในสภาวะธรรมที่จะทำ..โดยจับเอาอาการลักษณะสภาวะที่เคยเข้าถึงได้นั้นๆจึงเข้าได้ เป็นการใช้สัญญาที่จดจำจากลักษณะอาการของสภาวะธรรมที่เป็นฌาณหรือญาณที่เคยเข้าได้นั้นๆ เรียกว่า ใช้สัญญา ความจำได้หมายรู้อารมณ์*..หรือ บางท่านทำไว้ในใจที่ความว่างจากกิเลสสมมติทั้งปวง ความดับ ความไม่มี นิพพาน
หากคนฝึกใหม่ไม่เคยเข้าฌานได้..เวลาฝึกทำตามครูบาอาจารย์ท่านสอนไป ต้องปล่อยให้จิตมันเป็นไปของมันเอง โดยไม่ไปจำจดจำจ้องที่จะเอาจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่กระสันได้ ไม่หวังผล ยินดีแต่ไม่ปารถนา ปล่อยจิตให้มันสบายๆ ทำสะสมเหตุไปไม่หวังผลโดยระลึกขอแค่ให้ได้ทำก็เป็นที่พอใจแล้ว พอเหตุมันมีมากจิตมันมีกำลังเข้าถึงได้บ่อยๆ จิตมันจะจดจำสภาวะของมันเอง กล่าวคือ
ก. ตั้งมั่นปฏิบัติเพราะรู้ว่า นี่คือการทำเป็น พุทธปูชา ธรรมมะปูชา สังฆปูชา มาตาปิตุปูชา ครูอุปัชฌาอาจาริยะปูชา ปฏิบัติเพื่อถวายเป็นเครื่องสักการะบูชาแก่พระพุทธเจ้า บูชาแก่พระธรรม บูชาแก่พระสงฆ์ บูชาแก่พ่อแม่บุพการี บูชาแก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ทั้งหลาย
ฃ. ทำด้วยรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดี รู้ว่ามันทำให้กายใจเราไม่ฟุ้งซ่าน นั่นเพราะการฝึกอบรมจิตนี้..มันเป็นการฝึกฝนทำให้จิตเรามีสติสัมปะชัญญะเป็นเบื้องหน้าอยู่เนืองๆ อยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่ส่งออกนอก ไม่เสพย์สมมติ
ค. ทำเหตุสะสมภาวนาบารมี อบรมจิตเพื่อสะสมเหตุบารมีไปเรื่ิอยๆ ระลึกไว้เลยว่า..แค่เราทำสมาธิแล้วประครองจิตไม่ให้ส่งออกนอกมีความรู้ตัวรู้กายรู้ใจอยู่ในปัจจุบันขณะที่กำลังเป็นอยู่ไม่สัดส่ายส่งจิตออกนอกไปเสพย์สมมติได้แม้ชั่วขณะจิตหนึ่งนี้ บารมีภาวนาเราก็มากโขเลย ยิ่งทำได้มากยิ่งมีอานิสงส์มากมันยิ่งทำให้จิตเรามีกำลังมากตั้งมั่นได้ง่าย เพราะเมื่อมีสติสัมปะชัญญะตั่งมั่นได้บ่อยมากเท่าไหร่ จิตก็ตั่งมั่นตามได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น
..เช่น เวลานั่งหลับตาทำสมาธิ ให้มีสติตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งทีเกิดมีขึ้นในปัจจุบัน ยกตัวอย่างคือ
ค.๑ บริกรรมพุทโธคู่ลมหายใจให้จิตเรามีกำลังรู้ลมในทุกขณะมากขึ้น แล้วปักหลักรู้ลมหายใจที่กำลังเข้าและออกสัมผัสผ่านที่ปลายจมูก จิตอยู่กับพุทโธไม่หลุดจากลมหายใจไป เป็นต้น และ มองออกไปเบื้องหน้าเห็นสภาวะที่มืดโล่งกว้างไม่มีอะไรเลยอยู่นั้น ระลึกรู้ว่าปัจจุบันมันเป็นอย่างนั้นมีแค่นั้นแหละไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
ค.๒ กำหนดนิมิตโดยมโนสัญญา เช่น กสิน เอาจิตหน่วงนึกถึงวงกสินนั้นในเบื้องหน้า ก็ให้รู้ตัวว่าเรากำลังกำหนดนิมิตวงกสินนั้นๆขึ้นมาเป็นอารมณ์ในการทำสมาธิอยู่
ทำแบบ 2 ข้อนี้ นี่เรียกว่าเป็นการรู้ตัวรู้กายใจที่ทำที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว เมื่อมันคิดเกิดนิมิตเรื่องราวไรๆก็รู้ว่า..จิตมันรู้สมมติ เสพย์สมมติ หลงสมมติ ไม่ใช่ของจริง มันสมมติเรื่องราวทั้งที่ผ่านมาแล้วหรือที่ไม่รู้ไม่เห็นหรือที่ยังไม่้คยเกิดขึ้นให้มาอยู่เบื้องหน้าทั้งที่ของจริงในปัจจุบันเรื่องเหล่านั้นไม่มีอยู่เลย ของจริงแท้ที่มีอยู่ คือ ลมหายใจ พุทโธ ความมืดว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยในเบื้องหน้า หรือ วงกสินที่กำหนดขึ้นมาในที่โล่งมืดในเบื้องหน้าอยู่เท่านั้น แค่ฝึกทำไปเรื่อยๆอย่างนี้ประครองกายใจให้อยู่กับปัจจุบันอย่างนี้ ฝึกดับความคิดฟุ้งซ่านส่งจิตออกนอกอย่างนี้ ก็เรียกว่า..อบรมจิต ทำเหตุสะสม สมาธิและปัญญาแล้ว
การฝึกเริ่มแรกของการฝึกวสีโดยความปลงใจในโลก
๑. ทิ้งกาย (ไม่สนกาย ตั้งจิตจักทิ้งกายไป)
๒. ทิ้งอารมณ์ความรู้สึกจากภายนอก (ไม่สนอารมณ์ภายนอก ตั้งจิตจักวางเฉยไม่ยินดียินร้ายต่อโลกในภายนอก)
๓. ละอารมณ์ความรู้สึกภายในใจ (จิตรู้สิ่งใดสิ่งนั้นคือสมมติทั้งหมด ไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้ก็ไม่ยึดสมมติ)
๑. ทิ้งกาย..๑.๑ กายเนื้อเรานี้เป็นของเน่าเหม็น เป็นของไม่สะอาด(อาการ ๓๒) เป็นที่ประชุมโรคร้ายเน่าเหม็นไม่น่ายินดี เป็นเพียงที่แนะชุมขึ้นของธาตุ ๖ ที่นับวันจะมีแต่ผุพังเสื่อมสูญสลายไปในที่สุด ไม่เป็นที่จำเริญใจ ไม่เป็นที่น่ายึดเหนี่ยว
๑.๒ ระลึกหน่วงนึกน้อมเข้าไปในดวงจิต(กำหนดนิมิตเข้าไปมองไปถามดวงจิต) แล้วตรึกไถ่ถามใจตนว่าแน่ะดวงจิตของจริงอท้เป็นอย่างนี้แล้วเธอยังจะเอาของไม่สะอาดเน่าเหม็น ไม่คงทนอยู่ได้นานนี้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ด้วยหลงมันเพียงเพราะรู้เห็นแต่สมมติเท่านั้นอีกหรือ
เราควรละมันไปได้แล้ว แล้วตั้งมั่นทำไว้ในใจละทิ้งกายคือรูปขันธ์นี้ไปเสีย หน่วงนึกว่าพ่อแม่มอบกายนี้แก่เรามา ให้จิตเราเดินทางมาอาศัยเข้าไปยึดครองก็เพียงเพื่ออาศัยใช้งานมันในการเจริญปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นทุกข์เท่านั้น หากเราจักกระทำความกตัญญูนอกจากการเลี้ยงดูแลท่านแล้ว เราก็ควรใช้กายนี้ทำให้เราเข้าถึงธรรมเครื่องหลุดพ้นทุกข์ทั้งสิ้นนี้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน แล้วนำธรรมเหล่านั้นแลเอื้อประโยชน์สุขให้แกท่านในภายหน้า
แล้วตั้งมั่นทำไว้ในใจไมเอาจิตยึดมั่นในกายคือรูปขันธ์นี้อีก
๒. ทิ้งอารมณ์ความรู้สึกจากภายนอก๒.๑ น้อมพิจารณาว่า เรื่องราวไรๆสิ่งไรๆภายนอกที่มากระทบเรานี้ มีอยู่เพียงแค่ ที่ทำให้เป็นสุข และที่ทำให้เป็นทุกข์ สิ่งที่ทำให้สุขก็อยู่กับเราได้ไม่นาน สิ่งที่ทำให้ทุกข์ก็มีเข้ามาอยู่ไม่ขาด ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา ไปเรียน ไปทำงาน กินข้าว เลิกเรียน เลิกงาน กลับบ้าน กินข้าว จนถึงตอนเข้านอน ก็มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่เรื่องราวสิ่งไรๆทำให้เราต้องแบกรับกอบเอาความทุกข์แวะเวียนมากระทบอยู่ไม่ขาด ทั้งจากคนรอบข้างในชีวิต ครอบครัว ที่เรียน ที่ทำงาน สิ่งของทั้งปวง ..เมื่อเราขวานขวายแสวงหาสิ่งที่ทำให้สุขไปแม้ได้มันมาสมใจอยากแต่มันก็ไม่ยั่งยืนนาน มันสุขกับสิ่งนั้นๆได้แค่วูบวาบๆชั่วคราว แล้วก็ดับไป อยู่ได้นานสุดก็แค่หมดลมหายใจเรานี้แหละไม่คุ้มกับที่มันทำให้จิตใจเราเศร้าหมองจากการติดใคร่หมายใจฝักใฝ่แสวงหามันมาเสพย์มายึดครอง ดังนี้แลโลกนี้มันมีแต่ทุกข์ จากความไม่มี ไม่ได้ ไม่เป็นดั่งใจต้องการ ที่รัก ที่ชัง ที่เกลียด ที่ไม่ยั่งบืน ที่ไม่ใช่ตัวตน ที่สุดแล้วก็ตายไปโดยไม่เป็นแก่นสาร แล้วยังจะไปติดใจยึดเอาอะไรจากภายนอกมาอีกหรือ ละๆมันไปเสีย เราจะไม่ทุกข์ เรื่องภายนอกมันก็ส่วนเรื่องภายนอกมันแปรปรวนเป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งทั้งปวงโลกทั้งสิ่งที่รัก ที่ชัง มันเป็นสัจจะธรรม มันมีอยู่แค่นั้น เมื่อยึดถือไปก็มีแต่ทุกข์เท่านั้น ดังนั้นอย่าไปใส่ใจสนใจให้ความสำคัญกับมัน ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆไปก็หาประโยชน์สุขไรๆไม่ได้นอกจากทุกข์ ไม่ติดใจข้องแวะใส่ใจให้ความสำคัญกับสิ่งไรๆก็ไม่ทุกข์ เพราะมันเป็นธรรมชาติทั่วไปที่มีทั่วไปอยู่นับล้านๆแบบในโลกเราซึ่งสิ่งทั้งปวงไม่ว่าอะไร ไม่ว่าใครก็ต้องพบเจอ คือ สิ่งที่ทำให้เป็นสุข สิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ สิ่งที่ทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์ หรือ สิ่งที่พอใจยินดี - ไม่พอใจยินดี - สิ่งที่ไม่ยินดียินร้าย หรือ รัก - ชัง - เฉยๆ
เมื่อความจริงมันเป็นอยู่อย่างนี้ แค่นี้ แล้วจะไปเอาอะไรกับสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตในโลกใบนี้ได้เล่า ควรละความยึดมั่นในโลกนั้นๆไปเสียมันไม่มีสิ่งใดน่าหลงใหลยินดี แล้วยกจิตขึ้นเพิกเฉยต่อธัมมารมณ์ภายนอกไรๆนั้นสิ่นไปเสีย
๓. ละอารมณ์ความรู้สึกภายในใจ๓.๑ ติดสุข สบาย ทุกข์
๓.๒ สังขารความคิด ความตรึกหน่วงนึกถึง มันเกิดจากความจำได้หมายรู้ในสิ่งนั้น ตรึกสมมติเอาความจำได้หมายรู้ในสิ่งที่มันผ่านไปแล้วดับไปแล้วนั้นๆขึ้นมาว่าเป็นอย่างนั้น เหตุการณ์ย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็สมมติให้มันเป็นแบบนั้น สมมติให้มันเป็นแบบนี้ สมมติเรื่องราวนั้นๆสืบต่อไปเรื่อยในเรื่องที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นบ้าง ไม่มีอยู่จริงบ้าง ยังมาไม่ถึงบ้าง คาดคะเนให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามใจที่เพลอดเพลิน ที่รัก ที่ต้องการ ที่ชัง ที่เกลียด ที่ไม่ต้องการ นี่แนะ จิตมันสมมติเอาทั้งนั้น มันติดสมมติมันก็ปรุงไปเรื่อย โดยแท้จริงสิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่เลย ไม่เกิดขึ้นเลย จิตมันสมมติ มันรู้อต่สมใติ มันหลงติดอย ู่ตั้งมั่นรู้อยู่แต่ในสิ่งสมมติล้วนๆทั้งสิ้น ที่มีให้เห็นรู้จริงอยู่ในปัจจุบัน คือลมหายใจกำลังเคลื่อนตัวเข้าแลัออกอยู่นี้ และ พุทโธ เท่านั้น พุทโธ คือพระพุทธเจ้า พุทโธเป็นกริยาอาการของจิตที่รู้ รู้ปัจจุบัน รู้ของจริงต่างหากจากสมมติ ตื่นจากสมมติไม่หลงติดอยู่ในสมมติ เบิกบานหลุดพ้นแล้วจากสมมติกิเลสของปลอม กล่าวคือ
๓.๒.๑.ขณะที่เรารู้ว่าจิตมันรู้มันหลงยึดเอาแต่สมมติ รู้ว่าปัจจุบันของแท้คือเรากำลังลมหายใจเข้าออกนี้ แล้วตั้งมั่นรู้ในปัจจุบันที่ลมหายใจนั้น นี่เรียกว่า จิตเป็นผู้รู้แล้ว จิตเราก็ถึงซึ่งพุทโธอันว่าด้วยคุณแห่งความเป็นผู้รู้แล้ว
๓.๒.๒.เมื่อจะทำลมหายใจให้เป็นพุทโธ คือผู้รู้ อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก โดยเอาจิตหน่วงนึกระลึกบริกรรมพุทโธกำกับอยู่ทุกลมหายใจเข้าและออก ตั้งจิตปักหลักปักตอไว้อยู่ที่ปลายจมูก ไม่ไหวไปตามลมไม่ให้จิตหลงส่งออกนอกไปตามสมมติแนบแน่นอยู่ปัจจุบันที่พุทโธแล้ว นี่เรียกว่าจิตเป็นผู้ตื่นแล้ว เพราะตั้งมั่นไม่หลงสมมติอีก จิตเราก็ถึงซึ่งพุทโธอันว่าด้วยคุณแห่งความเป็นผู้ตื่นแล้ว
๓.๒.๓.เมื่อจิตตั้งมันอยู่ในสภาวะธรรมปัจจุบัน ความตรึกหน่วงนึกดับ กิเลสนิวรณ์ไม่เหลืออยู่อีก คำบริกรรมพุทโธหายไปแล้ว สติตั้งมั่นในจุดเดียวได้ ทำให้จิตตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์นั้นอารมณ์เดียวได้นานตามโดยปราศจากกิเลสสมมติที่ตรึกตรองจากความจดจำสำคัญมั่นหมายของใจ มันแช่อยู่ในความว่างแจ้งสว่าง สบาย เบา แช่มชื่น เย็นใจ ไม่หน่วงหนักตรึงใจ จิตมีกำลังอัดแน่นอยู่มากจนเหมือนสภาวะที่จิตอาศัยอยู่นี้ไม่พอที่จะรับมันเอาไว้ได้ มองไปที่ได้ก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ว่างแปนราบไปหมด ไม่มีความติดใจข้องแวะสิ่งไรๆในโลกอีกด้วยขณะนั้นจิตมันเห็นว่าไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เข้าอัปปนาสมาธิ นี่เรียกว่า จิตเริ่มเป็นผู้เบิกบานหลุดพ้นแล้วจากสมมติกิเลสเครื่องล่อใจทั้งหลาย จิตเราก็น้อมให้เป็นไปซึ่งพุทโธอันว่าด้วยคุณแห่งความเป็นผู้ตื่นแล้ว
เมื่อละสังโยชน์ได้ จิตก็เป็นพุทโธมากน้อยตามกำลังที่ละไ
ดังนั้น พุทโธ คือ กิริยาอาการของจิตมันเป็นอย่างนี้
๔. ดังนี้แล้วจิตเราจะเป็นพุทโธได้ก็ด้วย
ก. ละกาย ด้วยเห็นทุกข์ในกาย
ข. ละธรรมภายนอก ด้วยเห็นทุกข์จากโลก
ค. ละจิตอันเป็นธรรมภายใน ด้วยเห็นทุกข์ที่จิตมันรู้ มันยึด มันหลง และ เสพย์แต่สมมติ
๕. เมื่อกรรมฐานเสร็จแผ่เมตตา ต้องแผ่เมตตาให้ตนเองนี้เป็นผู้มีสขไม่มีกิเลสทุกข์ ไม่ผูกควาทโกรธเจ็บแค้นใคร ไม่อาฆาตพยาบาทใคร เป็นผู้มีความสุขเย็นกายเย็นใจ เป็นผู้ประครองกาย วาจา ใจ ให้ตรงต่อพระนิพพาน อันเป็นอมตะสุข ดับสิ้นซึ่งกิเลสแล้ว
หากแผ่เมตตาให้ศัตรูภัยพาลไม่ได้ ให้รู้ไว้เลยว่าเรายังมีใจคับแคบอยู่ เป็นผู้ผูกเวรคือผูกโกรธ เป็นผู้พยาบาทคืออาฆาตแค้นเขาอยู่ กิเลสยังมากหนาอยู่ จิตขาดความเมตตาเอ็นดูปรานีต่อเขา ก็แก้ที่ใจเรานี้แหละโดยทำไว้ในใจแผ่เมตตาให้ตนเองไม่ผูกเวรพยาบาทเขานั้นเอง คนเรามีรักกันเกลียดกันเพราะต่างฝ่ายต่างมีกิเลสนั้นเอง หากเราไม่มีกิเลสก็ไม่มีอะไรเป็นตัวถ่วงใจให้หน่วงตรึงจิต จิตมันก็ผ่องใสเป็นที่สบายไม่ยึดหลงอารมณ์ไรๆทั้งสิ้น