ปริญญา การกำหนดรู้, การทำความเข้าใจโดยครบถ้วน มี ๓ คือ
๑. ญาตปริญญา กำหนดรู้ขั้นรู้จัก
๒. ตีรณปริญญา กำหนดรู้ขั้นพิจารณา
๓. ปหานปริญญา กำหนดรู้ถึงขั้นละได้
[๔๗๓] ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้นเป็นไฉน ได้แก่สัญญา ๑๐
คือ ความกำหนดหมายว่าไม่งาม ความกำหนดหมายในความตาย ความกำหนด
หมายในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล ความกำหนดหมายความไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง
ความกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง ความกำหนดหมายในสิ่งไม่เที่ยงว่าเป็นทุกข์ ความ
กำหนดหมายในทุกข์ว่าไม่ใช่ตัวตน ความกำหนดหมายในการละ ความกำหนด
หมายในวิราคธรรม ความกำหนดหมายในความดับ ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ควร
ให้บังเกิดขึ้น ฯ
สัญญา ๑๐ ความกำหนดหมาย, สิ่งที่ความกำหนดหมายไว้ในใจ มี ๑๐ อย่าง (โดยส่วนตัวเราเห็นว่า พุทโธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีอยู่ใน สัญญา ๑๐ นี้) คือ
๑. อนิจจสัญญา กำหนดหมายความไม่เที่ยงแห่งสังขาร
๒. อนัตตสัญญา กำหนดหมายความเป็นอนัตตาแห่งธรรมทั้งปวง
๓. อสุภสัญญา กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย (ปฏิกูลสัญญา อาการทั้ง ๓๒)
๔. อาทีนวสัญญา กำหนดหมายโทษแห่งกาย คือมีอาพาธต่างๆ (โรคร้ายน่าเกลียดต่างๆ โรคฝี โรคหนอง โรคเรื้อน)
๕. ปหานสัญญา กำหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตกและบาปธรรม (กุศลวิตก ๓, เลือกธรรมารมณ์ที่ควรเสพย์และไม่ควรเสพย์ ไม่ว่าจะเป็น ความพอใจยินดี-ความไม่ยินดี-อุเบกขา, กรรมบถ ๑๐, สัมมัปปธาน ๔, อินทรีย์ ๕, พละ ๕,กรรมฐาน ๔๐ สติปัฏฐาน ๔)
๖. วิราคสัญญา กำหนดหมายวิราคะ คืออริยมรรคว่าเป็นธรรมอันสงบประณีต (อินทรีย์สังวร, มรรค ๘, โพชฌงค์ ๗)
๗. นิโรธสัญญา กำหนดหมายนิโรธ คืออริยผล ว่าเป็นธรรมอันสงบประณีต (วิมุตติ, มรรค ๑๐, จิตไม่จับเอาอะไรเลย รู้ก็เหมือนไม่รู้ รู้ก็ช่าง ไม่รู้ก็ช่าง แบบ อรูปฌาณ สัญญาเวทยิตนิโรธ **หากอย่างเราๆผู้ไม่ถึง วิมุตติ และ สมาบัติ ๘ ก็ให้พึงเห็นว่า..เมื่อความไม่ทุกข์ ไม่ว่างอยู่โดยความไม่รู้หนังตรึงๆหน่วงจิตมันเป็นอย่างไร, เมื่อจิตไม่มีกิเลสปรุงแต่งมันสุขเพียงไร ความไม่เร่าร้อนมันเป็นไฉน, จิตที่คลายความยึดจากสมมติคลายอุปาทานขันธ์ ๕ มันเป็นสุขขนาดไหน, เมื่อจิตไม่ยึดเอาสมมติไรๆสภาวะธรรมไรๆมันสุขแค่ไหน แม้ความสุข,ความทุกข์,ความไม่สุขไม่ทุกข์ไม่มี..จิตไม่เสพย์ไม่ยึดมันยังความบรมสุขมากแค่ไหน**)
๘. สัพพโลเก อนภิรตสัญญา กำหนดหมายความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง (เห็นไตรลักษณ์ ทุกอย่างเป็นเพียงสมมติ ทุกอย่างเป็นเพียงสภาวะธรมไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งใดๆรู้แต่ไม่เสพย์ จนให้มันเป็นเพียงสภาวะธรรมหนึ่งๆเท่านั้น)
๙. สัพพสังขาเรสุ อนิฏฐสัญญา กำหนดหมายความไม่น่าปรารถนาใน สังขารทั้งปวง (ปฏิฆะ ต่อ ขันธ์ ๕, ไม่มีความยินดีในขันธ์ ๕ และ ธาตุ ๖ อีก ด้วยพิจารณาเห็นใน ๘ ข้อสัญญาข้างต้นนั้น)
๑๐. อานาปานัสสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก(อานาปานสติ, พุทธานุสสติ+อานาปานสติ(พุทโธ หรือ อรหัง), เห็นตามจริงว่าลมหายใจนี้คือธาตุเป็นของจริงที่มีอยู่ในกาย หาความยินดีในการให้จิตรู้ของจริงก็คือลมหายใจเรานี้แหละ เป็นกายสังขาร)
อาพาธสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=2597&Z=2711คิริมานนทสูตร
[๔๗๔] ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรรู้ยิ่งเป็นไฉน ได้แก่นิชชิณวัตถุ ๑๐ คือ
ความเห็นผิดอันบุคคลผู้เห็นชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่
น้อย ที่บังเกิดเพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัยเขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อย
ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัย ความดำริผิดอันบุคคลผู้
ดำริชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิดเพราะความ
ดำริผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อย ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
เพราะความดำริชอบเป็นปัจจัย การเจรจาผิดอันบุคคลผู้เจรจาชอบย่อมละได้ อนึ่ง
แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิดเพราะเจรจาผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้
ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะเจรจาชอบเป็นปัจจัย การ
งานผิดอันบุคคลผู้ทำการงานชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่
น้อยที่บังเกิดเพราะการงานผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อม
ถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะการงานชอบเป็นปัจจัย การเลี้ยงชีพผิดอันบุคคล
ผู้เลี้ยงชีพชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิดเพราะ
การเลี้ยงชีพผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญ
บริบูรณ์ เพราะการเลี้ยงชีพชอบเป็นปัจจัย ความพยายามผิดอันบุคคลผู้พยายาม
ชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิดเพราะความพยายาม
ผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อย ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
เพราะความพยายามชอบเป็นปัจจัย ความระลึกผิดอันบุคคลผู้ระลึกชอบย่อมละได้
อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิดเพราะความระลึกผิดเป็นปัจจัย เขา
ก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความระลึกชอบ
เป็นปัจจัย ความตั้งใจผิดอันบุคคลผู้ตั้งใจชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรม
อันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิดเพราะความตั้งใจผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วน
กุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความตั้งใจชอบเป็นปัจจัย
ความรู้ผิดอันบุคคลผู้รู้ชอบย่อมละได้ อนึ่ง แม้อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่
บังเกิดเพราะความรู้ผิดเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมถึง
ความเจริญบริบูรณ์ เพราะความรู้ชอบเป็นปัจจัย ความพ้นผิดอันบุคคลผู้พ้นชอบ
ย่อมละได้ อนึ่ง อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิดเพราะความพ้นผิดเป็น
ปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมเจริญบริบูรณ์ เพราะความพ้น
ชอบเป็นปัจจัย ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯ
[๔๗๕] ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรทำให้แจ้งเป็นไฉน ได้แก่อเสขธรรม
๑๐ คือ ความเห็นชอบเป็นของพระอเสขะ ความดำริชอบ ... เจรจาชอบ ... การงาน
ชอบ ... เลี้ยงชีพชอบ ... พยายามชอบ ... ระลึกชอบ ... ตั้งใจชอบ ... ความรู้ชอบ ... ความ
พ้นชอบ เป็นของพระอเสขะ ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ควรทำให้แจ้ง ฯ
ธรรมร้อยหนึ่งดังพรรณนามานี้ เป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาด
ไม่เป็นอย่างอื่น อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ ฯ
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวสูตรนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นดีใจ ชื่นชมภาษิตของ
ท่านพระสารีบุตร ดังนี้แล ฯ
อ่าน คิริมานนทสูตร กถามุข ได้ที่นี่ http://www.kanlayanatam.com/Mybookneanam/book_26.pdf