บันทึกกรรมฐาน สัญญา ๑๐ โดยย่อที่เป็นหัวใจของสัญญา ๑๐ ที่เราพอจะมีปัญญาเห็นได้ # ๑
สัญญา ๑๐ ความกำหนดหมาย, สิ่งที่ความกำหนดหมายไว้ในใจ มี ๑๐ อย่าง
(โดยส่วนตัวเราเห็นว่า พุทโธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน, และ การเลือกธรรมมารมณ์ที่ควรเสพย์ ละธรรมมารมณ์ที่ไม่ควรเสพย์ มีอยู่ใน สัญญา ๑๐ นี้ ทั้งหมด) คือ
๑. อนิจจะสัญญา
ขันธ์ ๕ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์โดยอาการ พิจารณามองเห็นว่า ไม่เที่ยง
- ผู้รู้ : รู้เห็นสภาวะธรรมของขันธ์ตามจริง จากยถาภูญาณทัสสนะ นี่เรียกว่า สัมมาทิฐิ ของพระอริยะเจ้า
(ญาณอันเป็นไปในมรรค)- อนิจจะสัญญา เป็นการเจริญให้เข้าถึงความพอใจยินดี ที่ไม่ควรเสพย์(ละความพอใจในขันธ์ ๕) / เกิดความไม่พอใจยินดีที่ควรเสพย์
๒. อนัตตะสัญญา
อายตนะ ภายนอก ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะ ภายใน 6 รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์โดยอาการ พิจารณามองเห็นว่า ไม่มีตัวตน
- ผู้รู้ : รู้เห็นสภาวะธรรมของอายตนะ ๑๒ นามรูปที่ได้รู้ผัสสะตามจริง จากยถาภูญาณทัสสนะ นี่เรียกว่า สัมมาทิฐิ ของพระอริยะเจ้า
(ญาณอันเป็นไปในมรรค)- อนัตตะสัญญา เป็นการเจริญให้เข้าถึงความพอใจยินดี ที่ไม่ควรเสพย์
(ละความพอใจในอารมณ์ที่รู้ผัสสะ) / เกิดความไม่พอใจยินดีที่ควรเสพย์
สัญญา ๑๐ ในข้อที่ ๑-๒ นี้คือ มรรคญาณ ปัญญาในทางมรรค เกิดขึ้นในโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ไม่ใช่ตรึกนึกคิดเอา แต่เห็นสภาวะธรรมจริงๆด้วย ถ้าได้จากความคิด สัญญา ๑๐ อีก ๘ ข้อจะไม่มีทางเข้าถึงได้เด็ดขาด
๓. อสุภะสัญญา
อาการ ๓๒ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจตับ พังผืด ไต ปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า น้ำดี เสลดหนอง เลือด เหงื่อ มัน น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร เป็นต้น โดยอาการพิจารณาเห็น ความเป็นของไม่งาม ไม่น่าพิศมัย ในกายนี้
- ผู้รู้ : รู้เห็นสภาวะธรรมของรูปขันธ์ ที่ได้รู้ผัสสะตามจริง จากยถาภูญาณทัสสนะ คือ ม้างกายในสายพระป่า จนไม่เห็นมีเราในรูปขันธ์ ในรูปขันธ์ไม่มีเรา นี่เรียกว่า สัมมาทิฐิ ของพระอริยะเจ้า
(ญาณอันเป็นไปในมรรค)- อสุภะสัญญา เป็นการเจริญให้เข้าถึงความพอใจยินดี ที่ไม่ควรเสพย์
(ละความพอใจยินดีในรูปขันธ์) / เกิดความไม่พอใจยินดีที่ควรเสพย์
๔. อาทีนะวะสัญญา
ผลของโรคต่าง ๆ และ เหตุของโรคต่าง ๆ โดยอาการพิจารณาเห็น ความเป็นโทษ ในกายนี้
- ผู้รู้ : รู้เห็นสภาวะธรรมของรูปขันธ์ ที่ได้รู้ผัสสะตามจริง จากยถาภูญาณทัสสนะ คือ ม้างกายในสายพระป่า จนไม่เห็นมีเราในรูปขันธ์ ในรูปขันธ์ไม่มีเรา เห็นความเน่าเปื่อผุพังสลายไปของอาการทั้ง ๓๒ นี่เรียกว่า สัมมาทิฐิ ของพระอริยะเจ้า
(ญาณอันเป็นไปในมรรค)- ผู้รู้ : เป็นการเจริญให้เข้าถึงความพอใจยินดี ที่ไม่ควรเสพย์
(ละความพอใจยินดีในรูปขันธ์) / เกิดความไม่พอใจยินดีที่ควรเสพย์
สัญญา ๑๐ ในข้อที่ ๓-๔ นี้คือ กายคตาสติ เป็น มรรคญาณ ไปสู่ปัญญา สู่ ปหานสัญญา เป็นยถาภูญาณทัสสนะไปสู่วิราคะสัญญาปุถุชนนี้ยังแยกก็ได้เพียงสัญญาจดจำเอาเ้ท่านั้น แต่พระโสดาปัตติมรรคขึ้นไปท่านม้างกายออกขาดสิ้นไม่เหลือตัวตนเลย ปัญญาญาณก็จะเกิดขึ้น ณ ที่นั้นจะละสังโยชน์ได้มากน้อยก็เริ่มที่ตรงนี้
๕. ปหานะสัญญา
กามวิตก ,พยาบาทวิตก , วิหิงสาวิตก , อกุศลกรรมทั้งปวงโดยอาการสำเหนียกด้วยอารมณ์ ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงซี่งความไม่มี
(ที่เราเห็นกรรมฐาน คือ มรรคมีองค์ ๘ สัมมาวายามะ แล้วเพียรใน กุศลวิตก ๓, เลือกธรรมารมณ์ที่ควรเสพย์และไม่ควรเสพย์ คือ โสมนัสที่ควรเสพย์และโสมนัสที่ไม่ควรเสพย์ ๑ โทมนัสที่ควรเสพย์และโทมนัสที่ไม่ควรเสพย์ ๑ อุเปกขาที่ควรเสพย์และอุปกขาที่ไม่ควรเสพย์ ๑, กรรมบถ ๑๐, สีลสังวร, สัมมาวายามะ หรือ วิริยะฉันทะ หรือ สัมมัปปธาน ๔, อินทรีย์ ๕, พละ ๕, กรรมฐาน ๔๐, สติปัฏฐาน ๔)- ผู้ตื่น : รู้เห็นสภาวะธรรมทั้งปวงตามจริง จากยถาภูญาณทัสสนะ เกิดสัมมาทิฐิหลุดจากความลุ่มหลง เกิดนิพพิทาญาณบ้างแล้ว
(ญาณอันเป็นไปในมรรค ทำให้แก่กล้าเข้าถึงญาณแห่งปัญญา) แล้วก็เพียรที่จะละ จะบรรเทาความลุ่มหลงทั้งหลายให้สิ้นไป เพื่อให้หลุดพ้นจากสมมติของปลอมอันเป็นทุกข์ที่กิเลสสร้างขึ้นมาหลอกให้จิตหลงทั้งสิ้นนี้
- ปหานะสัญญา ความไม่พอใจยินดีที่ควรเสพย์
๖. วิราคะสัญญา
ธรรมที่ทำให้เกิดการสละคืนอุปธิทั้งปวง และธรรมที่ทำให้ตัณหาสิ้นไปโดยอาการเจริญปัญญาให้ใจมุ่งมั่น ต่อการทำลายล้างกิเลสที่เกิดขึ้น
(ที่เราเห็นกรรมฐาน คือ สีลสังวร หรือ ปาฏิโมกข์สังวร, สติสังวร หรือ อินทรีย์สังวร, สติปัฏฐาน ๔, กรรมฐาน ๔๐(กายานุปัสสนา) นั้นคือ มรรค ๘, โพชฌงค์ ๗)- ผู้ตื่น : รู้เห็นสภาวะธรรมทั้งปวงตามจริง จากยถาภูญาณทัสสนะ เกิดสัมมาทิฐิหลุดจากความลุ่มหลง เกิดนิพพิทาญาณแล้ว แล้ว ภาวนาใน ศีล ทาน กรรมฐาน ๔๐ สังวรปธาน พละ ๕ จนอินทรีย์แกร่งกล้ามากพอให้มรรคบริบูรณ์ดีแล้ว เกิดญาณอันเป็นไปในทางปัญญา เรียกว่า สัมโพชฌงค์ ๗ เมื่อโพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ดีแล้วเด็ดเดี่ยวไม่ยินดีในสังขารทั้งปวงอีกจนเกิดปัญญาญาณที่เป็นการตัด ตัดขาดสะบั้นหลุดออกตายไปไม่มีหวนกลับมาอีก
- วิราคะสัญญา ธรรมารมณ์ที่ควรเสพย์ เกิดสัมมาญาณ แล้วตัด
(คือ มีทั้ง โสมนัสที่ควรเสพย์และโสมนัสที่ไม่ควรเสพย์ ๑ โทมนัสที่ควรเสพย์และโทมนัสที่ไม่ควรเสพย์ ๑ อุเปกขาที่ควรเสพย์และอุปกขาที่ไม่ควรเสพย์ ๑)(ข้อนี้เราพอจะสัมผัสได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น)
ปหานสัญญา เป็นไปในมรรคเพื่อทะลายความหลงออกให้ถึงปัญญา, วิราคะสัญญา เป็นไปเพื่อปัญญารู้แจ้งดับสนิทซึ่งเพลิกกิเลสเพลิกทุกข์โดยสิ้นเชิง, นิโรธ เป็นผลจากวิราคะ เป็นวิมุตติ หลุดพ้นแล้ว
๗. นิโรธะสัญญา
ธรรมชาตินั่นสงบ ประณีต ระงับได้แล้วซึ่ง อุปธิ และตัณหา โดยไม่เหลือโดยอาการทรงอารมณ์ เสวยผลแห่งการเข้าถึงนิพพาน
(ที่เราเห็นกรรมฐาน คือ วิมุตติ, มรรค ๑๐, จิตไม่จับเอาอะไรเลย รู้ก็เหมือนไม่รู้ รู้ก็ช่าง ไม่รู้ก็ช่าง แบบ อรูปฌาณ สัญญาเวทยิตนิโรธ)**
หากอย่างเราๆผู้ไม่ถึง วิมุตติ และ สมาบัติ ๘ ทางกรรมฐานสำหรับเราๆนี้ก็ให้ทำดังนี้คือ**
วิธีที่ ๑ จับเอาที่จิตอันเป็นสุขไม่มีทุกข์ก่อน แล้วยกจิตไปอากิญจัญญายตนะ เข้าวิโมกข์ ๘๑. ให้เราพึงคำนึงถึงว่า
(หวนระลึกถึง หวนคิดถึง)..เมื่อความไม่ทุกข์ ไม่ว่างอยู่โดยความไม่รู้หนังตรึงๆหน่วงจิตมันเป็นอย่างไร, เมื่อจิตไม่มีกิเลสปรุงแต่งมันสุขเพียงไร ความเป็นมิตรต่อสัตว์และมนุษย์ทั้งปวง ความไม่เร่าร้อนปราศจากความรัก โลภ โกรธ หลงสงบว่างร่มเย็นกายใจ ประดุจห้วงมหาสมุทรที่นอ่งว่างสงบเย็น ไม่กระเพื่อมแปรปรวนฟุ้งซ่าน ไม่แสวงหา ไม่ขัดข้องใจ ไม่ผูกความขุ่นเคืองใจมันเป็นไฉน, จิตที่คลายความยึดจากสมมติคลายอุปาทานขันธ์ ๕ มันเป็นสุขขนาดไหน, เมื่อจิตไม่ยึดเอาสมมติไรๆสภาวะธรรมไรๆมันสุขแค่ไหน แม้ความสุข,ความทุกข์,ความไม่สุขไม่ทุกข์ก็ไม่มี..จิตไม่เสพย์ไม่ยึดมันยังความบรมสุขมากแค่ไหน ให้น้อมเอาความรู้สึกอย่างนั้น**
๒. ระลึกถึงว่าหากเราไม่แสวงหา-เราก็ไม่ร้อนรุ่มเป็นทุกข์จากความใคร่ได้ที่จะเสพย์, หากเราไม่ผูกเวรติดข้องขัดเคืองใจใคร-มันก็ไม่เร่าร้อน เดือดดานเป็นทุกข์, หากเราไม่ยึดติดลุ่มหลงอยู่กับสิ่งไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนนาน ไม่มีตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่พรัดพราก ไม่แสวงหา ไม่ประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจ ไม่เกิดความผิดหวัง ก็ไม่ทุกข์ ละอารมณ์ทางโลกอันเป็นไปเพื่อกิเลสสมมติเหล่านี้ก็ไม่ทุกข์ น้อมเข้าทางธรรมอารมณ์ทางธรรมคือไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่จับเอาสิ่งใดทั้งสิ้น ทุกสิ่งเป็นสูญ ไม่ยึดจับเอาอะไรในสังขารทั้งปวง จากนั้นก็แผ่เอาความไม่ยึดเอาสิ่งใดแม้แต่กายใจตน ไม่เอาไม่สนกายและใจตนนี้ แผ่ไปให้ทั่วจักรวาลจนจิตสงบนิ่งแช่อยู่ แต่มีสติสัมปะชัญญะรู้อยู่ แล้วจะรับได้ถึงอารมณ์นั้นที่ว่างมีกำลังนิ่งแช่ไม่มีกาย ไม่มีจิต ไม่มีสมมติ ไม่มีอารมณ์ปรุงแต่ง ไม่สุข ไม่ทุกข์ ว่างสงบนิ่งอยู่ แล้วก็เกิดอาการที่ไม่ใช่อุเบกขาขึ้นไม่จับเอาอะไรเลย เหมือนตอนที่เราฝึกเจริญวิโมกข์ ๘ เมื่อแผ่อุเบกขาไปไม่มีประมาณตอนที่เข้าสวดมนต์แผ่เมตตาหลวงและกรรมฐานที่วัดกับหลวงปู่บุญกู้
วิธีที่ ๒ ตั้งฐานไว้ที่พรหมวิหาร ๔ สืบต่อไป ศีล ทาน ไปแบบไม่มีประมาณลัดเข้าวิโมกข์ ๘๑. พึงตั้งจิตปารถนาให้ตนเป็นผู้ประกอบด้วยสุข ไม่มีความทุกข์กายใจ ปราศจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลงเครื่องเร่าร้อนกายใจทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีผูกเวรพยาบาท เป็นผู้ปราศจากความทุกข์ลำบากเศร้าหมองกายใจ เป็นผู้ดำรงชีพอยู่เป็นสุขทุกเมื่อ พึงกระทำจิตไปดังนี้จนมีจิตแน่วแน่เป็นกุศลสลัดพ้นจากความเศร้าหมองทั้งปวงได้
๒. ทำไว้ในใจว่าเราจักเป็นมิตรที่ดีกับคนทุกคน เริ่มจากพ่อแม่บุพการีก่อน
(ถือเป็นความกตัญญูกตเวทียิ่ง) แล้วไปถึงคนที่รัก ที่สนิท ที่เกลียด ที่ชัง ที่ไม่รู้จักก็ตาม สัตว์ทุกตน อมนุษย์ทุกตน เทพเจ้าเทวดานางฟ้าทุกองค์ สัมภเวสีทั้งปวง วิญญาณทั้งปวง พระยายมราช ยมทูตทั้งหลายไม่มีละเว้น
(ความเป็นมิตรที่ดี คือ สภาวะที่จิตเรานี้มีไมตรีสัมพันธ์ที่ดีต่อเขา ไม่มีความผูกแค้นตั้งความชอบใจและไม่ชอบใจต่อเขา ความที่ให้การสนิทใจต่อกัน มีจิตปารถนาดีให้เขาเป็นสุขไม่มีทุกข์ มีจิตแบ่งปันสิ่งที่ดีงามในกุศลต่อกัน ไม่ผูกเบียนเบียนทำร้ายกันทั้งทาง กาย วาจา ใจ ยินดีเมื่อเขามีความสำเร็จประโยชน์สุขไม่มีทุกข์ประดุจดั่งคนในครอบครัวอันเป็นที่รักของตน เป็นต้น) - แล้วแผ่เอาความเป็นมิตรที่ดีนั้นไปสู่ท่านเหล่านั้นให้ทั่วทุกทิศทั่วทุกทิศ ด้วยพึงระลึกว่าบัดนี้เรามีจิตตั้งอยู่ด้วยความเป็นมิตรที่ดีต่อสัตว์ทั้งปวง เป็นผู้ไม่ผูกเวร ไม่ผูกพยาบาท มีจิตความสงเคราะห์แบ่งปัยสุข เป็นผู้มีความยินดีในสุขอันเป็นกุศลของตนเองและผู้อื่นทุกเมื่อ ได้เจริญมาดีแล้วตามที่สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าองค์พระบรมศาสดาของเราตรัสสอน มีจิตผ่องใสเบิกบานแล้วอยู่อย่างนี้ๆ ไม่มีความติดใจข้องแวะสิ่งไรๆให้เศร้าหมอง แม้จักตายไปในตอนนี้ขณะที่หายใจเข้าหรือออก เราก็จักไม่ตกลงสู่อบายภูมิ ไม่ตกนรก แต่จักขึ้นไปอยู่สวรรค์วิมาณอันประณีตงดงามบ้าง อยู่บนสวรรค์ชั้นพรหมบ้าง ถึงนิพพานบ้างด้วยเดชแห่งบุญบารมีนั้น
๓. ระลึกถึงความไม่เบียนเบียนทาง กาย และ วาจา ที่เรานี้มีศีลมาดีแล้วบริบูรณ์แล้ว
(สีลานุสสติ ให้เอาศีลข้อที่เราทำมาดีแล้วหรือช่วงเวลาที่ตนปฏิบัติในศีลมาดีแล้วบริบูรณ์แล้วนั้นมาตั้งเป็นอารมณ์แห่งจิต) - พึงระลึกว่าแม้นศีลอันเป็นกุศลเพื่อเว้นจากความเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ประกอบไปด้วยคุณ เป็นไปเพื่อความถึงที่สุดแห่งกองทุกข์เหล่านี้ เราก็ได้ทำมาดีแล้วหนอ ได้เจริญปฏิบัติตามทางที่พระตถาคตเจ้าผุ้ประเสริฐนี้ตรัสสอนไว้ดีแล้ว ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ไม่เบียดเบียนแล้ว แม้จักตายไปในตอนนี้ขณะที่หายใจเข้าหรือออก เราก็จักไม่ตกลงสู่อบายภูมิ ไม่ตกนรก แต่จักขึ้นไปอยู่สวรรค์วิมาณอันประณีตงดงามบ้าง อยู่บนสวรรค์ชั้นพรหมบ้าง ถึงนิพพานบ้างด้วยเดชแห่งบุญบารมีนั้น พึงตั้งอยู่อย่างนี้จนจิตแจ่มใสเบิกบานด้วยฉันทะอิทธิบาท ๔ จากนั้นก็แผ่เอาศีลนั้นไปไม่มีประมาณ พึงมีจิตอันเว้นจากความผูกเวรเบียดเบียน จิตของความเป็นผู้ไม่เบียดบียนนั้นแผ่ไปทั่วทุกทิศ
๔. ระลึกถึงทานไรๆ ความกตัญญูและกตเวทีไรๆต่อพ่อแม่บุพการีที่ได้ทำมาดีแล้ว, ทานอันใดที่ได้มีให้ผู้อื่นโดยไม่ติดใจข้องแวะทั้งก่อนให้-ขณะให้-และหลังให้, แล้วระลึกถึงทานอันใดที่เราได้ทำโดยที่เรานั้นประกอบพร้อมด้วยศีล เพราะทานจะบริสุทธิ์ไม่ได้ถ้าผู้ให้ไม่มีศีล ส่วนเรื่องขอผู้รับนั้นมันก็แล้วแต่เขาเรื่องของเขา ความติดใจข้องแวะมันเป็นเรื่องของทางโลกแต่ทางธรรมนี้ไม่มีอย่างนั้น แค่เรามีศีลก็พอ
(พึงตั้งเอาทานเหล่านั้นมาเป็นที่ตั้งแห่งจิตจนเกิดความอิ่มเอมสุขเบิกบาน เป็น จาคานุสสติ มีฉันทะอิทธิบาท ๔ มีฉันทะสมาธิเกิด) - พึงระลึกว่าแม้นทานอันบริสุทธิ์นี้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดใน ๓ โลกได้ตรัสสอนไว้ดีแล้ว เราก็ได้ทำมาดีแล้ว มีการสละอันบริสูทธิ์บริบูรณ์แล้วนั้น แม้จักตายไปในตอนนี้ขณะที่หายใจเข้าหรือออก เราก็จักไม่ตกลงสู่อบายภูมิ จักเป็นผู้ไม่ลำบากยากแค้น ไม่ตกนรก แต่จักขึ้นไปอยู่สวรรค์วิมาณอันประณีตงดงามบ้าง อยู่บนสวรรค์ชั้นพรหมบ้าง ถึงนิพพานบ้างด้วยเดชแห่งบุญบารมีนั้น พึงตั้งแผ่เอาความอิ่มเอมสุขจากทานนั้นไปทั่วทุกทิศแบบไม่มีประมาณ
- ผู้เบิกบาน : ความหลุดพ้นจากความลุ่มหลงแห่งกองทุกข์ทั้งปวงแล้ว ความดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นแล้ว
(ข้อนี้เรายังไม่ถึงรู้เพียงปริยัติเท่านั้น แต่รับรู้ได้บ้างในทางโลกด้วยนิโรธที่เกิดจากการปฏิบัติที่เป็นกุศลพ้นความยึดมั่นถือมั่นในทางโลกียะ)
นิโรธ เป็นผลจากวิราคะ เป็นวิมุตติ หลุดพ้นแล้ว