วันที่ 6-12-58
มองเห็นว่างาม ไม่งาม สวยเสมอกันเหมือนกันหมด สวยต่างกัน บุคคลหรือสิ่งหนึ่งสวย แต่อีกบุคคลหรืออีกสิ่งหนึ่งไม่สวย
**ก. ความสวย หรือ ไม่สวย**
ความสวย หรือ ไม่สวย นี้คือ สัญญา
- สวย ไม่สวย หยาบกระด้าง ละเอียด ประณีต เป็นสัญญา คือ ความจดจำสำคัญมั่นหมาายของใจ..สำคัญใจไว้ว่านี่คือสวย นี่คือไม่สวย นี่คือสวยมาก นี่คือสวยน้อย สีนี้สวย สีนี้ไม่สวย รูปร่างอย่างนี้สวย รูปร่างอย่างนี้ไม่สวย (วรรณะ,สันฐาน)
**ข. เหตุแห่งสัญญาที่ว่าสวย หรือ ไม่สวย**
เหตุแห่งสัญญาที่ว่าสวย หรือ ไม่สวย นี้คือ ฉันทะ ปฏิฆะ
หลายสิ่งหลายอย่าง หลายคนที่เรามองว่า สวยๆพอๆกันก็เพราะมีฉันทะในสิ่งนั้นๆเสมอๆกัน
๑. ความจดจำสำคัญมั่นหมาายของใจ..จากความปรุงแต่งใน ฉันทะ..ความพอใจยินดี รู้ผัสสะแล้วเป็นที่สบายกายใจ ก็เข้าไปตั้งสมมติปรุงแต่งลงอุปาทานสัญญาจดจำว่านี่คือ สวย, ปฏิฆะ..ไม่พอใจยินดี รู้ผัสสะแล้วเป้นที่อึดอัด อัดอั้น ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ก็เข้าไปตั้งสมมติปรุงแต่งลงอุปาทานสัญญาจดจำว่านี่คือ ไม่สวย
๒. ก็เพราะความชอบใจยินดีในอารมณ์นี้แหละ จึงทำให้เกิดความต้องการ หมายใจที่จะเสพย์ในสิ่งนั้นๆ ใคร่ปารถนา แสวงหา จนกำหนัดกระสันมีใจผูกใฝ่ในอารมณ์ให้เร่าร้อน เมื่อพบเจออารมณ์ที่ตรงข้ามกันก็เกิดความยินร้าย หมายใจไว้ว่าเป็นสิ่งไม่ต้องการ ไม่อยากได้ ไม่อยากพบอยากเจอ อยากจะผลักหนีให้ไกลตนจนเกิดความกลัวบ้างเร่าร้อนหวาดระแวง
(ฉันทะราคะ)
**ค. เหตุแห่งความยินดี ยินร้าย**
เหตุแห่งความพอใจยินดี ไม่พอใจยินดี ความยินดี-ยินร้าย ก็คือ เวทนา ความหน่วงนึกในอารมณ์ ๑๘
๑. เมื่อจิตรู้ผัสสะ มีอาการเหมือนประกายไฟ เหมือนฟ้าแลบแปล๊บ ความเสวยอารมณ์แรกๆมันยังเป็นกลางๆ แล้วก็ดับไป
๒. จากสัญญาจดจำอารมณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนฟ้าแลบแปล๊บนั้นแหละสืบต่อให้จิตน้อมเข้าไปรู้อาการที่ผัสสะนั้นแหละ ทำให้เกิดสภาพจริงๆอาการจริงๆของอารมณ์นั้นๆให้เรารู้ (แต่ทั้งๆที่ของจริงมันดับไปแระ) แรกๆก็ยังเฉยๆเป็นกลางๆต่ออาการจริงนั้นๆอยู่
๓. แต่ด้วยธรรมชาติของจิตที่น้อมไปหาอารมณ์ และ สัญญาหมายรู้อารมณ์ทำให้อาการสภาวะนั้นๆเกิดสืบต่อมาอีกเรื่อยๆให้จิตรู้อาการที่เกิดขึ้นเนืองๆ จึงทำให้เกิด "ความหน่วงนึกรู้สึกแช่มชื่น ชื่นบานรื่นรมณ์ หรือ ความหน่วงนึกรู้สึกเหมือนเสียดขัดให้งุ่นง่าน ขัดๆต่ออาการจริงๆในอารมณ์ที่รู้นั้น"
(เราเข้าใจในสภาวะนี้ว่า จิตเข้าจับอนุสัยกิเลส)
๔. ก็เพราะความรู้สึกหน่วงนึกอารมณ์นี้ๆนี่เอง ที่ทำให้เกิดกลุ่มสภาวะธรรมหนึ่งขึ้นทำให้ตรึงใจไว้ในอารมณ์ ให้จิตเหมือนจิตถูกหน่วงเหนี่ยวลากจูงให้เข้าไปตรึงในอาการนั้นๆ จิตจึงเกิด "ความพอใจยินดี และ ไม่พอใจยินดี" แล้วจงใจเข้าไปทำใจไว้ในอารมณ์นั้นๆ ด้วยความติดใจว่า นี่คืออะไร มันเป็นอะไร สิ่งใด (เป็นสภาวะที่ติดข้องใจในอาการความรู้สึกจริงๆที่เกิดมีขึ้นอยู่)
(อาการนี้เราเข้าใจว่านี่คือ อนุสัยกิเลสสร้างอุปกิเลสก่อตัวขึ้นแล้ว)
๕. เมื่อเกิดความเข้าไปทำใจไว้ในอารมณ์นั้นๆ นี่แหละที่เป็นตัวไปเรียกเอาสัญญา ความจำได้หมายรู้ในอารมณ์ ความสำคัญมั่นหมายของใจ ทีนี้แหละสมมติทั้งปวงว่าสิ่งนี้คืออะไร เป็นอย่างไร มันออกมาหมด ความหน่วงนึกรู้สึกที่ว่า แช่มชื่น ชื่นบานรื่นรมณ์ นี่คือ สุข ส่วนความหน่วงนึกรู้สึกเหมือนเสียดขัดให้งุ่นง่าน ขัดๆต่ออาการที่มีนั้น คือ ทุกข์ ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าสิ่งที่รู้สัมผัสอยู่นี้คือ คน เพศ สัตว์ สิ่งของ เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย (อุปกิเลส นิวรณ์เหล่าใดเกิดขึ้นมาเบื้องหน้าให้จิตหลงยึดเสพย์แล้ว)
๖. เมื่อรู้สมมติบัญญัติแล้ว ก็จะเกิดความปรุงแต่งไปตาม สัญญา ความสำคัญมั่นหมายของใจ สังขาร ในมโนทวารลงใส่ใจจนเกิด "ฉันทะ และ ปฏิฆะ" หลงไปตามสมมติที่กิเลสมร้างขึ้นมาหลอกให้จิตรู้ จิตเสพย์ จิตหลง จิตยึดทางอายตนะ แล้วก็เกิดความตรึงตราติดใจในอารมณ์ ติดใคร่ ผูกใจฝักใฝ่หมายใจในอารมณ์ ขัดข้องขุ่นเคืองใจ มัวหมอง เศร้าหมองในอารมณ์โดยสมมติบัญญัติขึ้นมาทันทีว่า เจ็บ ปวด สบาย เกลียด ชัง ชอบ รัก สวย ไม่สวย ประณีต ไม่ประณีต เบื่อหน่าย หดหู่ ฟุ้งซ่าน
(เราเข้าใจว่านี่คือ อุปกิเลส, นิวรณ์ สำแดงฤทธิ์เดชแล้ว)
๗. เมื่อเข้ามารู้ในสมมติปรุงแต่ง ก็เกิดความติดใจ ตรึงตราในอารมณ๋ เหนี่ยวดึงให้เกิดอารมณ์ที่ใคร่ปารถนายินดีในอารมณ์ที่เสพย์เสวยอยู่นั้น เรียก กาม นันทิ ฉันทะราคะ ผูกใจหมายหมกมุ่นลุ่มหลงมัวเมาในอารมณ์ กำหนัด กระสัน เงี่ยน ตัณหา ทะยานอยาก แสวงหา ถวิลหาใคร่ได้ที่จะเสพย์ในอารมร์ทั้งปวง
(เราเข้าใจว่านี่คือ กิเลสอย่างหยาบ สำแดงฤทธิ์เดชแล้ว)
๑. กิเลสชั้นละเอียด ทำให้สันดานเศร้าหมอง
๒. กิเลสชั้นกลาง ทำให้มโนทวารเศร้าหมอง
๓. กิเลสชั้นหยาบ ทำให้วจีทวารและกายทวารเศร้าหมอง
จากผลการปฏิบัติที่เคยเห็นได้รู้สัมผัสในสมาธิ โดยเข้าสมาธิแล้วเดินทางปัญญา จะเห็นได้ว่า
กิเลส โลภะ กาม ราคะ โทสะ โมหะ ทั้งหลายมีอยู่โดย 3 ระดับ
ระดับที่รู้ว่าเกิดผัสสะ
ระดับที่รู้สภาวะธรรมจริง
ระดับที่รู้สมมติปรุงแต่งตรึกนึกคิด
ในพระสูตร อาทิตตปริยายสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสเทสนาต่อชฏิล ๓ พี่น้อง ตามที่หลวงปู่ฤๅษีลิงดำอธิบายไว้ว่า
ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ราคัคคิ โทสักคิ โมหัคคิ ยกเอาราตะมานั้นเพราะว่า เพราะราคะเป็นเหตุนั้นแหละจึงมีโทสะ ถ้าไม่มีราคะก็ไม่มีโทสะ ดังนั้นก็ต้องขจัดไฟราคะ โทสะ โมหะ กอยู่ไม่ได้
แนวทางปฏิบัติ
ก. สำรวมระวังในผัสสายตนะ ๖
1. พระตถาคต ย่อมสอนดังนี้ว่า รูปที่รู้ด้วยตา เสียงที่รู้ด้วยหู กลิ่นที่รู้ด้วยจมูก รสที่รู้ด้วยลิ้น สัมผัสที่รู้ด้วยกาย สัมผัสที่รู้ด้วยใจ เป็นสิ่งที่บุคคลควรฝึกฝน คุ้มครอง รักษา สำรวมระวัง
เมื่อรู้อารมณ์ในทางใดก็ดี จะรูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี สัมผัสกายก็ดี สัมผัสใจก็ดี เมื่อรู้อารมณ์ที่ชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจก็ตาม ท่านให้พึงบรรเทาราคะในอารมณ์ที่ชอบ, ไม่พึงเสียใจในอารมณ์ที่ไม่ชอบ ว่าพบเจออารมร์ที่ไม่ชอบใจ วางเฉยในผัสสะทั้งปวง
- โดยแนวปฏิบัติส่วนตัวของเราเพื่อให้เกิดความปลงใจ คือ ไม่ตั้งความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีในสิ่งที่รู้อารมณ์ไรๆ ไม่สำคัญใจว่าเป็นที่รัก ที่ชัง ก็เพราะไปสำคัญใจต่อ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่มากระทบให้รู้เหล่านั้น ..ด้วยราคะ ใจของเราก็จึงกระสันกำหนัด เพราะสำคัญใจไว้ต่อสิ่งนั้นๆด้วยความไม่ชอบใจ ไม่ยินดี ว่าเป็นที่เสียใจ ที่กลัว ที่หวาดระแวง เราจึงเกิดความอยากจะผลักหนีให้ไกลตน เกลียดชังไม่อยากพบเจอ
ดังนั้นไม่ว่าจะสิ่งไรๆก็ช่าง เราอย่าไปติดใจข้องแวะในสิ่งไรๆเลย ติดใจของแวะในสิ่งไรๆไปมันก็หาประโยชน์สุขไรๆไม่ได้เลยนอกจากทุกข์ ดังนั้นพึงละความติดข้องใจในอารมณ์ไรๆเหล่านั้นไปเสีย ทิ้งไป สละคืนไป แล้วทำใจให้ผ่องใสว่างไสวอยู่ทุกเมื่อ
2. พระตถาคต ย่อมสอนดังนี้ว่า รูปที่รู้ด้วยตา เสียงที่รู้ด้วยหู กลิ่นที่รู้ด้วยจมูก รสที่รู้ด้วยลิ้น สัมผัสที่รู้ด้วยกาย สัมผัสที่รู้ด้วยใจ เป็นสิ่งที่บุคคลควรฝึกฝน คุ้มครอง รักษา สำรวมระวัง
เมื่อรู้อารมณ์ในทางใดก็ดี จะรูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี สัมผัสกายก็ดี สัมผัสใจก็ดี ก็สิ่งเหล่านั้นมันไม่เที่ยงแท้ยั่งยืนนาน อยู่ได้นานสุดก็แค่หมดลมหายใจของเรา ไม่ได้ติดตามเราไปด้วย แม้เราหมายใจจะบังคับให้อารมณ์ทั้งปวงขอให้จงเป็นอย่างนั้น ขอให้จงเป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ แม้แต่ตัวเรานี้เราจะหมายใจไปบังคับให้รู้อารมณ์ทางสฬายตนะนั้นๆตลอดไปได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ดังนี้
- โดยแนวปฏิบัติส่วนตัวของเราเพื่อให้เกิดความปลงใจ คือ เพราะสิ่งภายนอกเหล่านั้นไม่มีตัวตน จะไปเจอสิ่งที่สวยที่รักที่ต้องการไรๆก็รู้ว่า เขาไม่ได้เกิดมาหรือมีอยู่เพื่อเรา เขาไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อย่าไปพึงปารถนาในสิ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเลย ยิ่งปารถนามากก็ยิ่งทุกข์มากละความปารถนาติดใจนั้นๆไปเสียเพราะเขาไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ได้มีอยู่เพื่อเรา
- เมื่อไปประสบสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็พึงสังวรว่า เพราะเราไปให้ความสำคัญใจต่ออารมณ์เหล่านั้น มันจึงมาเกิดมีบทบาทสำคัญต่อเราเป็นอันมาก ทำให้โทมนัสเป้นอันมาก ทั้งๆที่สิ่งที่รักหรือที่เกลียดมันก็เป็นแค่เพียงอาการทั้ง ๓๒ เป็นธาตุ ๖ เหมือนกันหมด เป็นรูปธรรมก็ดี เป็นนามธรรมก็ดีเสมอกันหมด ก็แค่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปไม่ต่างกันเสมอกันหมดทุกสิ่ง ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีความงามเสมอกันหมดดังนี้(สุภะวิโมกข์) แต่เพราะเราเข้าไปตั้งเข้าไปยึดให้ความสำคัญใจในปฆิฆะต่อสิ่งนั้นๆเอาไว้มาก จึงใส่ใจต่อสิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งที่ ไม่ขอบ เกลียด ชัง กลัว เสียใจ มากจนเป็นทุกข์เร่าร้อน ร้อนรุ่มกายใจ ดังนั้นเราก็เลิกให้ความสำคัญมั้นหมายของใจในปฏิฆะต่อสิ่งนั้นๆเสีย แม้เมื่อรู้เห็นไปก็ไม่ทุกข์กับสิ่งนั้นอีก
ข. สักแต่ว่ารู้
1. สักแต่ว่ารู้ในปัจจุบันนั้นๆ คือ รู้ว่ามีสีหรือแสงประกายอะไร อย่างไรอยู่เท่านั้น นี่เรียกว่า พิจารณาวรรณะ
2. สักแต่ว่ารู้ในปัจจุบันนั้นๆ คือ รู้ว่าสีเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้น มีรูปลักษณ์ เคล้าโคลง ลักษณะอย่างไร สูง ยาว สั้น แค่นแคะ กลม รี สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม คือรูปลักษณ์เคล้าโครงรูปแบบต่างๆ
ค. สมมติ (ละสมุทัย)
1. อุบายว่าจิตรู้สิ่งใดก็ตาม สิ่งนั้นล้วนเป็นสมมติทั้งหมด สมมติที่กิเลสสร้างขึ้นมาหลอกให้จิตลุ่มหลงแล้วยึดมั่นถือมั่นตัวตน โดยอาศัยทวาร คือ อายตนะเป็นเครื่องล่อหลอกจิต เราทุกข์ทรมานก็เพราะจิตมันรู้แต่สมมติ เราสุขกับสิ่งไม่เที่ยงไม่มีตัวตนก็เพราะจิตมันรู้แต่สมมติ ดังนั้นแล้วเราจะไม่ยึดจิต ไม่สนสิ่งที่จิตรู้หรือตรึกนึกคิดทั้งปวงเพราะมันคือสมมติของปลอมที่กิเลสสร้างขึ้นมาหลอกจิต
2. ของจริงนี้มีอยู่ในกายเรา พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เป็นกายสังขาร เป็นสิ่งที่กายต้องการ เป็นสิ่งที่เนื่องด้วยกายให้คงอยู่ นั่นก็คือลมหายใจนั่นเอง พึงคำนึงตรึกตรองอยู่เนืองๆว่าลมหายใจนี้เป็นของจริง เป็นวาโยธาตุ เป็นกายสังขารที่มีอยู่จริงในกายเรา ลมหายในนี้ไม่ทำให้เร่าร้อน ลมหายใจนี้ไม่มีโทษ ลมหายใจนี้เป็นที่สงบ ดังนั้นจิตรู้ลมหายใจอยู่ตลอดเวลาคือรู้ของจริง รู้ปัจจุบัน รู้สงบ ไม่ใช่ทุกข์
** หากจับลมอย่างเดียวไม่ได้ คือ อยู่กับลมหายใจไม่ได้นาน ครูบาอาจารย์ท่านให้ใช้พุทโธกำกับ พุทโธนี้เป็นมูลกรรมฐาน เป็นยอดกรรมฐานทั้งปวง พุทโธนี้มีคุณมาก สร้างกำลังให้จิตจดจ่ออยู่ได้นาน ทำให้สลัดจิตจากนิวรณ์ ถ้าจิตว่างพุทโธหายนั่นแสดงว่าจิตกลายเป็นพุทโธแล้ว คือ
- เป็นผู้รู้เห็น ถึงสมมติของปลอมที่กิเลสสร้างขึ้นมาหลอกจิต ให้ลุ่มหลงมัวเมาติดยึดอยู่
- เป็นผู้ตื่น จากสมมติของปลอมที่กิเลสสร้างขึ้นมาหลอกจิต ไม่ลุ่มหลงมัวเมาติดยึดอยู่อีก
- เป็นผู้เบิกบาน คือไม่ยึดติดลุ่มหลงอีกแล้วซึ่งสมมติของปลอม ความพ้นจากสมมติกิเลสทั้งปวงแล้ว
ท่าน DEV วัดเกาะตอบคำถามในทาง พระอภิธรรมว่าลักษณะที่เห็นรูปอย่างนึง แล้วรู้สึกว่าเท่ ว่าน่ารัก ว่าสวย ว่างาม หรือ ว่าแปลก ว่าน่าเกลียด ว่าน่าขยะแขยง
ลักษณะของความงามที่มีต่างๆกัน กับความไม่งามที่มีต่างๆกัน ที่เกิดเพราะอาศัยการเห็นรูปๆนึงเป็นปัจจัย
ตัวลักษณะความสวย ความไม่สวย นี้เป็นธรรมอะไรครับ
เป็นรูปคงไม่ใช่ แสดงว่าต้องเปนเจตสิกหนึ่งที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยรูปนั้นๆจึงปรากฏความเท่ ความน่ารัก ความสวย ความไม่สวยที่แผลกๆกัน
รูปร่างที่เห็นเป็นคน ผู้หญิง ผู้ชาย
เมื่อแตกย่อยออกแล้ว แท้จริงก็เป็นเพียงรูปธาตุต่างๆ มาประชุมรวมกันใช่มั้ยครับ
รูปธาตุ ก็มีลักษณะที่หยาบ ละเอียด ทราม ประณีต ต่างกันไปตามเหตุปัจจัย
แต่หากไม่มีจิต/เจตสิก ที่รับรู้รูปนั้น ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
ดังนั้น ความรู้สึกว่าเท่ ว่านักรัก ว่าสวย ว่างาม ว่าน่าเกลียด ว่าน่าขยะแขยง
ก็คือความนิยมชมชอบที่แต่ละคนเห็นแล้วรู้สึกพึงพอใจ หรือไม่พึงพอใจ
หากพึงพอใจก็เป็นโลภมูลจิต ซึ่งมีโลภเจตสิกประกอบอยู่นั่นเอง
หรือหากไม่พึงพอใจ ก็เป็นโทสมูลจิต ซึ่งมีโทสเจตสิกประกอบอยู่นั่นเองครับ